DC Comic : Red Lantern 06 : ความโกรธแค้นสีแดงฉาน
เรื่อง : Peter Milligan
ภาพ : Ed Benes, Rob Hunter
วางจำหน่าย: 1 กุมภาพันธ์ 2012
สำนักพิมพ์ : DC Comics
จากการที่เห็นน้องชายของเขาตายไปต่อหน้าต่อตา ได้ทำให้ความโกรธแค้นของ Jack Moore ที่เก็บกดมาตลอดชีวิตระเบิดออกมา และได้ดึงดูดแหวนพลังสีแดงมา เปลี่ยนให้เขากลายเป็น Red Lantern คนใหม่!
อีกด้านหนึ่ง ที่ Ysmault ความขัดแย้งที่ดำเนินมาพักใหญ่ในที่สุดก็ถึงจุดแตกหัก!!
.
.
.
“อย่างกับว่ากระดูกสันหลังของฉันเพิ่งจะหักไป”
“ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า…มีความเจ็บปวดขนาดนั้นอยู่ด้วย”
“แหวนวงนี้ทำอย่างนั้นได้ยังไง”
“ฉันคือแจ็ค มัวร์ ฉันเป็นนักศึกษาภาควิชาวรรณคดี ที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด…”
“ในปากฉันเต็มไปด้วยเลือดที่เดือดพล่าน หัวใจฉันเต้นแรงมาก เหมือนมันกำลังจะระเบิดออก”
“แต่มันก็ไม่ระเบิด”
“หัวใจฉันยังเต้นอย่างรุนแรงไม่ยอมหยุด”
“เมื่อตอนที่แม่ตาย ฉันใช้หนังสือเป็นที่หลบซ่อน ฉันไม่ยอมโกรธ ไม่ว่าพวกนั้นจะทำหรือพูดอะไรกับฉันก็ตาม”
“ฉันเก็บกดความโกรธลงไปในใจ พยายามควบคุมมัน”
ที่ภายนอก Jack เดินเข้าหาพวกตำรวจที่เพิ่งทุบตีน้องชายของเขาจนตาย
“ไปให้พ้น”
“ต้องบอกพวกนั้น…ให้ไปให้พ้น…”
“ต้องเตือนพวกเขา…”
แต่สิ่งที่ออกมาจากปากของเขากลับไม่ใช่คำพูด แต่มันเป็นเลือดเพลิงที่ร้อนแรง และเผาร่างของตำรวจชะตาขาดจนไหม้ถึงกระดูกในพริบตา!!
“เหมือนกรดกำลังกัดกร่อนเพดานปากของฉัน”
“รสชาติมันเหมือน…เนยถั่วที่กำลังไหม้ เป็นไปได้ยังไง?”
“เป็นไปได้ยังไง?”
พวกตำรวจที่เหลือพยายามทุบตีเขา แต่มันก็ไม่อาจผ่านม่านพลังที่คลุมร่างของเขาอยู่ไม่ได้
ทันใดนั้นในหัวของเขาก็ย้อนไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
“ไม่ว่ามันจะเจ็บขนาดไหน”
“ฉันก็ไม่ยอมโกรธ”
“ฉันไม่ยอมให้มัน…ควบคุมฉัน”
เมื่อขู่ตำรวจจนถอยไปได้แล้ว Jack ก็เดินไปดูศพน้องชายของเขา…
“เรย์มอนด์ พวกมันฆ่าเขา”
[ด้วยเลือดและความโกรธ…สีแดงฉาน]
[ที่ควักออกมาจากร่างที่เพิ่งสิ้นลมหายใจ]
“คำพูดแปลกๆผุด…ขึ้นมาในหัวฉัน”
[ที่ควักออกมาจากร่างที่เพิ่งสิ้นลมหายใจ…]
[ร่วมด้วย…ความโกรธแค้นอันเหลือประมาณของพวกเรา…]
[เราจักแผดเผาพวกเจ้าให้สิ้น…นั่นคือชะตาของเจ้า!]
“คำพูดพวกนั้นมาจากไหน?”
“จากไหนกันแน่?”
พวกตำรวจระดมยิงใส่ Jack แต่มันก็ไม่อาจทำร้ายเขาได้
“ไม่น่าเชื่อเลย กระสุน…มันแทบจะไม่เจ็บเลย”
“ต้องไปจากที่นี่ หาคำตอบว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันต้องการความช่วยเหลือ”
“นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?”
“ฉันคือแจ็ค มัวร์ ฉันเป็น…”
“ฉันเป็น…อะไรกันแน่?
“ฉันกลาย…ไปเป็นอะไรไปแล้ว?
ตัดไปที่ Ysmault ดาวหลักของ Red Lantern Corps
หลังจากที่ลองเชิงกันมานาน ในที่สุดความขัดแย้งของ Atrocitus กับ Bleez ก็ถึงจุดระเบิด!!
Atrocitus : บลีซผู้สูงส่งแห่งเวฮาวาเนีย เจ้าสูญเสียปีกของเจ้า เจ้าสูญเสียแม้แต่จิตใจของเจ้า เจ้านั้นเคยเต็มไปด้วย…ความโกรธที่เกินจะบรรยายได้
Bleez : อัคร์!
Atrocitus : แต่ข้า อโตรซิตัสผู้นี้ได้ทำให้เจ้ากลับมามีสติสมบูรณ์อีกครั้ง…เพื่อว่าเจ้าจะรับใช้ข้าได้ดียิ่งขึ้น
Atrocitus : แล้วดูซิว่าเจ้าตอบแทนข้ายังไง?
Atrocitus : เจ้าตอบแทนข้าด้วยการมากระด้างกระเดื่องกับข้าแบบนี้!
ว่าแล้ว Atrocitus ก็ซัด Bleez ปลิวลอยละลิ่วไป!!
“ศพของเจ้าโครน่าที่น่าชัง ผู้ที่ฆ่าล้างเขตอวกาศของข้า มันหายไป…”
Atrocitus : สกัลล็อก เจ้าจงนำพรรคพวกจำนวนหนึ่งไปค้นหาเจ้าคนน่าชังนั่นตามชายฝั่งของทะเลเลือด หากข้ารู้ว่ามันหายไปไหนล่ะก็ มันจะต้อง…
ทันใดนั้น Bleez ก็พุ่งเข้ามาล็อคคอของ Atrocitus จากด้านหลัง?!
Bleez : เรี่ยวแรงท่านมันตกลงไปแล้วอโตรซิตัส หมัดของท่านเมื่อกี้นั่น…มันควรจะฆ่าข้าได้ไปแล้วด้วยซ้ำ
Ratchet : นาง…กำลังได้เปรียบ
Zilius Zox : ไม่หรอกน่า ข้าว่าเขากำลังเล่นอยู่มากกว่า
Ratchet : อโตรซิตัสไม่เคยเล่น
ขณะที่ Red Lantern คนอื่นๆกำลังดูอยู่ ทั้ง Atrocitus และ Bleez ก็กำลังพันตูกันอย่างดุเดือด
Bleez : …เมื่อไม่มีโครน่า…ท่านก็อ่อนแอลง มันเป็นต้นกำเนิดความโกรธของท่าน มันคือที่มาของพลังของท่าน แต่ข้านั้นต่างออกไป เพราะปีกที่ยับเยินของข้าคู่นี้คือสิ่งเตือนใจของความโกรธของข้า…
ตอนนั้นเอง Atrocitus ก็ใช้แรงงัดมือของ Bleez ออกจากคอของเขา
แล้วฟาดร่างของหล่อนลงไปที่พื้น
Atrocitus : เจ้าจะต้อง…เชื่อฟังข้า นังตัวแสบ
Bleez : อัคร์!!!
แต่ Bleez ก็ยังไม่ยอมแพ้
Bleez : ยอมรับเสียเถอะอโตรซิตัส เวลาของท่าน…มันใกล้หมดลงแล้ว
เมื่อได้ยินแบบนั้น Atrocitus ก็เข้าเล่นงาน Bleez ต่อ!
Atrocitus : พอได้แล้ว!
Bleez : อึก…หากว่าเรดแลนเทิร์นจะ…ทำภารกิจให้ลุล่วงไปได้…พวกเขาต้องการ…ผู้นำคนใหม่…ที่ดีกว่า
Bleez : เอาเลยสิ เชิญท่านฆ่าข้าได้เลย แต่ก็จะมีคนอื่น…มาทำสิ่งเดียวกันนี้แทนข้าอยู่ดีนั่นแหละ
แต่ก่อนที่ Atrocitus จะทันลงมือ ก็มีเสียงเรียกดังขึ้น
Skallox : ท่านอโตรซิตัส
Skallox : ท่านลงโทษนางหนักพอแล้ว ปล่อยนางไปเถอะ
“พวกมันบางคนเข้าข้างนาง”
“พวกมันจะทำถึงขนาดไหนกัน? พวกมันจะยอมสู้เพื่อนางหรือเปล่า?”
“พวกมันจะยอมตายเพื่อนางหรือเปล่า?”
Atrocitus : เจ้าตั้งคำถามวิธีการของข้างั้นเรอะ? หากไม่มีข้า…เจ้าก็จะยังคงเป็นได้แค่เหยื่อ ข้าสร้างแบตเตอรี่ศูนย์กลางและดึงเอาพลังของแสงสีแดงมาใช้งานได้…
Atrocitus : ข้าได้เปลี่ยนความโกรธของพวกเจ้ามาเป็นพลังที่จะแผ่ขยายไปทั่วอวกาศ กองทัพอันโกรธเกรี้ยวแห่งความแค้นที่ต่อสู้เพื่อ…
ทันใดนั้น Atrocitus ก็รู้สึกตัวว่าเขากำลังทำอะไรอยู่!
“นี่ข้ากำลังทำอะไรกัน? ข้ากำลังอธิบายการกระทำของข้างั้นรึ? ข้ากำลังให้เหตุผลแก่การกระทำของข้างั้นรึ?”
“ที่ผ่านมานั้น เหตุผลเพียงแค่ว่าข้าคืออโตรซิตัสก็เพียงพอแล้ว”
“แต่นางได้เปลี่ยนแปลงพวกมัน นางได้เปลี่ยนแปลงข้า”
“บางอย่าง…กำลัง…เปลี่ยนแปลง”
ตัดมาที่ดาวเคราะห์โลก
Jack Moore กำลังพุ่งดิ่งลงมาที่สุสานแห่งหนึ่งด้วยความเร็วสูง ก่อนจะกระแทกพื้นดินอย่างแรง!!
แรงกระแทกทำให้พื้นดินเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ทั้งป้ายหลุมศพ, โลงศพ, แม้แต่ศพในโลงก็กระเด็นออกมากองระเกะระกะไปหมด
Jack ปีนขึ้นจากหลุม และมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง
“เขาถูกฝังอยู่ที่นี่”
และเขาก็ไปหยุดที่หน้าป้ายหลุมศพอันหนึ่ง
“ปู่”
“ตั้งแต่แม่ตายไป…เขาก็เลี้ยงดูพวกเรามา เหมือนกับเป็นพ่อของพวกเรา”
แล้วทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงสิ่งที่หลั่งไหลออกมาจากดวงตาของเขา
“น้ำตาที่ร้อนไหลลงมาบนหน้าของฉัน ใช่แล้ว น้ำตา”
“นั่นคือสิ่งหนึ่งที่…แหวนวงนี้ไม่ได้พรากมันไปจากฉัน”
“ในหัวของฉันมันมีความทรงจำร้ายๆวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา”
“ฉันได้ยินเสียงของน้องชายของฉัน…”
“ฉันเห็นภาพของเขา…”
เขานึกถึงตอนที่เขาและน้องชายทะเลาะกันเรื่องที่น้องเขาจะไปแก้แค้นคนที่ฆ่าปู่ของพวกเขา
และชื่อหนึ่งก็ผุดขึ้นในความทรงจำของเขา
“แบ็กซ์เตอร์”
“ความโกรธแค้น”
“ความเกลียดชัง”
ว่าแล้ว Jack ก็ดึงป้ายหลุมศพปู่ของเขาขึ้นจากพื้นดิน!
ตัดมาที่นาย Baxter ชายที่ฆ่าปู่ของ Jack ที่ได้เข้ามอบตัวและขอให้ตำรวจคุ้มครอง
แต่ที่บนท้องฟ้า Jack กำลังไล่ตามมาด้วยความเร็วสูง
“ฉันรู้สึกถึงความโกรธแค้นที่เผาไหม้อยู่ในตัวฉัน มันกำลังก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ราวกับมันกำลังจะระเบิดร่างฉันเป็นเสี่ยงๆ”
“มันฆ่าปู่ และนั่นก็นำไปสู่การตายของเรย์มอนด์ด้วย”
“จึงเป็นเหมือนกับว่ามันฆ่าพวกเขาทั้งสองคน”
“ครอบครัวทั้งหมดที่ฉันมีอยู่”
ว่าแล้ว Jack ก็พุ่งเข้าชนรถตำรวจจนพลิกคว่ำ และเขาก็ควานหาตัว Baxter จากในซากรถจนพบ
แม้ตำรวจจะพยายามหยุดเขาแต่ก็ไม่มีประโยชน์อันใด
“แกฆ่าปู่ของฉัน”
Jack : ปู่…ฉัน…ฆ่า…..
Baxter : จะ…แจ็ค? นายคือแจ็ค มัวร์หรือเนี่ย?
Baxter : คุณพระช่วย เกิดอะไรขึ้นกับนายกันน่ะ?
เมื่อ Baxter เห็น Jack ยกป้ายหลุมศพชูขึ้นเหนือหัว มันก็รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร จึงรีบหาทางเอาตัวรอดทันที
Baxter : คะ…คือว่า ฉัน…ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าตาแก่นั่น นายไม่รู้หรอกว่าชีวิตฉันมันย่ำแย่ขนาดไหน พ่อแม่ทุบตีฉัน ฉันหางานทำไม่ได้ ที่ฉันเป็นคนอย่างนี้…มันไม่ใช่ความผิดของฉัน
เมื่อ Jack ได้ยินที่ Baxter พล่ามออกมา ความคิดก็ดังก้องในหัวเขา
“แล้วตอนนั้นเองทุกอย่างก็ดูจะเป็นเหตุเป็นผลขึ้นมา”
“ความโกรธแค้นที่อยู่ในตัวฉัน แหวนวงนี้ รสชาติของเนยถั่วไหม้ ความโกรธแค้นและเศร้าศร้อยสุดจะบรรยายนี้”
“ทุกอย่างมันเป็นเหตุเป็นผลในตัวของมันเองแล้ว”
แล้ว Jack ก็ฟาดป้ายหลุมศพลงไปบนร่างของ Baxter!!!
แต่เมื่อ Jack มองลงไป แทนที่จะเห็นร่างที่แหลกและของ Baxter เขากลับเห็นม่านพลังสีเขียวได้ห่อหุ่มตัวของ Baxter เอาไว้?!
ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดมาจากข้างหลังของเขา
Guy : พอแค่นั้นแหละ
Jack หันไปดูตามเสียง และเห็นชายแปลกหน้าที่สวมชุดสีเขียวกำลังยืนอยู่ข้างหลังเขา?!
Guy : ฉันชื่อกาย การ์ดเนอร์ และท่าทางฉันกับนายคงจะต้องมาคุยกันเสียหน่อยแล้ว
ตอนต่อไป : Green Lantern vs. Red Lantern!!
เอาล่ะว่ะ มนุษย์ครึ่งเขียวครึ่งแดงอย่างกาย จะซัดกับ มนุษย์แดงเต็มตัวแล้วเว้ย
แจ็ค มัวร์ มีพลังจากการเก็บความโกรธมากจริงจริงอ่ะ ถึงกลายมาเป็นแบบนี้
ส่วนตัว อโตรซิตัสกับ บลีซ อยากให้ชอบพอกันไม่ไ่ด้เลยรึ เศร้าเลย
หัวนี้ อืดพอสมควรเลยอ่ะ เร่งเครื่องเข้าเหอะ
ว่าแต่ ศพโคโรน่า หายไปไหนหว่า ?
โอ้ว Red Lantern คนใหม่อย่างเท่ (*0*
จะฉะกันแล้ว
เล่มอื่นเค้าจบ arc กันแล้ว แต่เหมือนหัวนี้เพิ่งจะเริ่มเรื่องเลยแฮะ
ผมรู้สึกไปเองรึเปล่า Red Lantern มนุษย์คนนี้ เป็นคนที่ใจเย็นมากๆเลยนะ (ฮา)
ถ้าเป็น Red คนอื่นๆ น่าจะคลั่งเที่ยวฆ่าตำรวจพวกนั้นหมดแล้ว
ตอนหน้า มันนนนนนน แน่ๆ!!
เรดคนนี้ อาจนับเป็นคนแรกที่มีสติปัญญาหลังกลายเป็นเรดหรือเปล่า ?
ที่แตกต่างอาจเป็นเพราะใช้ชีวติมาแบบที่ สามารถเก็บงำความโกรธได้มาตลอด
เรดรายนี้ดูมีสติกว่าตัวอื่นนะ
ตัวอื่นนี่เป็นบ้ากันไปหมดแล้ว 555
คนนี้แหละ ผู้ช่วย Atrocitus ตัวจริง ผมว่า
รู้สึกเท่มาก แต่ถ้าหัวไม่่เป็นไฟแบบนั้นอาจดูดีขึ้นหน่อย
(Rankorr ชื่อนี้ผมเคยเอาไปใช้ตั้งชื่อตัวละครในเกมด้วยนะ ดีซีคงไปเจอแล้วเอามาตั้งชื่อเจ้านี่มั้ง5555)
รู้สึกมีสติเกินไปนะเนี่ย