DC Comic : Green Lantern : New Guardians 05 : THE ORRERY
เรื่อง : Tony Bedard
ภาพ : Tyler Kirkham, Batt
วางจำหน่าย: 25 มกราคม 2012
สำนักพิมพ์ : DC Comics
Green Lantern Kyle Reyner นำทีมกลุ่มของ Lantern จากต่างองค์กรไปยังยานอวกาศขนาดมหายักษ์ที่ปรากฎขึ้นใจกลางกาแล็คซี่แห่งหนึ่ง แต่สิ่งที่พวกเขาพบที่นั่นกลับยิ่งทำให้ปริศนาที่มันซับซ้อนอยู่แล้วยิ่งซับซ้อนหนักข้อขึ้นอีกหลายเท่า!!
.
.
.
เริ่มเรื่องมาที่ใจกลางของกาแล็คซี่แห่งหนึ่ง
Green Lantern Kyle Reyner และตัวแทนจากกลุ่ม Lantern อื่นๆอีก 5 กลุ่มกำลังมองดูสิ่งประหลาดที่พวกเขาได้รับรู้ถึงตัวตนของมันเมื่อตอนที่แล้ว
ที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาคือยานอวกาศที่มีขนาดใหญ่อภิมหายักษ์ที่ถูกขนานนามว่า “The Orrery” ซึ่งขนาดของมันนั้นเทียบเท่ากับระบบสุริยะทั้งระบบเลยทีเดียว!!
มียานอวกาศจำนวนมากรายล้อมมันอยู่ แต่ทว่าเมื่อ Kyle สั่งให้แหวนส่งคำเตือนให้ยานเหล่านี้ถอยออกไป แหวนกลับแจ้งเขาว่ายานเหล่านี้ไม่มีสัญญาณชีวิตใดๆอยู่เลย!?
Arkillo : ถ้างั้นอะไรก็ตามที่อยู่ข้างในยานยักษ์นั่นก็อาจจะเชิญพวกนั้นเข้าไป…หรือไม่ก็ฆ่าพวกมันไปหมดแล้วสินะ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ที่เรามาที่นี่ก็เพียงเพื่อหาตัวคนที่มันขโมยแหวนพลังจากองค์กรของเราแต่ละคน…และรับรู้รสชาติความกลัวของมันเมื่อเราฆ่ามันซะ
Kyle : ระวังคำพูดหน่อยอาร์คิลโล
Kyle : อย่าให้เซนต์วอล์คเกอร์ต้องนึกเสียใจที่ช่วยรักษาลิ้นให้นายจะดีกว่านะ
Arkillo : ข้าไม่ได้ติดค้างอะไรเจ้าบลูแลนเทิร์นนี่ทั้งนั้น
Saint Walker : แลนเทิร์นเรย์เนอร์ไม่ได้หมายความว่า…
Arkillo : ไม่ต้องมาบังอาจพูดกับข้า!
Fatality : เราควรจะรีบหาตัวศัตรูให้พบโดยเร็วทีสุด ก่อนที่ทีมของเรานี่จะฆ่ากันเองตายไปเสียก่อน
Munk : นี่เราเป็นทีมเดียวกันแล้วงั้นรึ…?
Kyle : นายจะเรียกกลุ่มของเรานี่ว่าอะไรก็ตามสบายแล้วกันนะมังค์…ขอแค่อย่ามาเล่นงานฉันก็พอ แหวนสแกนหาทางเข้าหน่อยซิ
[พบความผิดปกติ : ไม่สามารถตรวจสอบโครงสร้างนี้ได้]
Kyle : เจ๋งเลย
Kyle : เจ้าสิ่งนี้มันใหญ่พอๆกับระบบดาวฤกษ์เลย ถ้าเราจะตรวจสอบมันตามธรรมดามันจะต้องใช้เวลามากเกินไป ถ้าจะให้ค้นหาได้บริเวณกว้างไกลกว่าเราก็ต้องแยกกันไป
Fatality : แล้วเสี่ยงให้ศัตรูจัดการเราง่ายๆทีละคนงั้นรึ?
Kyle : ก็ได้ เราจะไปกันเป็นคู่แล้วกัน เอาเป็นว่าเธอกับมังค์ไปตรวจสอบทรงกลมทางด้านโน้น
Kyle : ส่วนเซนต์วอล์คเกอร์กับฉันจะไปดูอันโน้น แล้วก็…
Arkillo : แกจะให้ข้าไปกับเจ้าแมลงสีส้มตัวนี้งั้นเรอะ?!
Kyle : นี่ เมื่อสองวินาทีก่อนนายเพิ่งจะทำเหมือนเซนต์วอล์คเกอร์เป็นแค่ฝุ่นติดรองเท้านายอยู่เลยนะ!
เมื่อเห็นว่า Kyle กับ Arkillo ทำท่าจะวางมวยกันเอง Saint Walker ก็เข้ามาห้าม
Saint Walker : ใจเย็นไว้ก่อนเถิดสหายไคล์ ข้าจะไปกับอาร์คิลโลเอง
Kyle : แล้วถ้าหมอนี่คิดจะเล่นงานนายขึ้นมาล่ะ?
Saint Walker : ข้าไม่เกรงกลัวเขาหรอก และข้าก็สามารถดูแลตัวเองได้อยู่
ว่าแล้วทั้งสี่คนก็จากไปทำการตรวจสอบตามที่ตกลงกันไว้ ทิ้ง Kyle ไว้กับคู่ของเขา…Glomulus
Kyle : โอ้ ให้ตายสิ
Kyle : รู้ไหม ตอนแรกฉันก็ดีใจอยู่ที่เจ้านายของแกส่งแกมาแทนมัน แต่ตอนนี้ฉันชักสงสัยแล้วสิว่าลาฟลีซมันหลอกใช้เราอยู่หรือเปล่า…
แต่สิ่งที่ Glomulus ตอบเขามาคือ…
Glomulus : =แบร่!=
Kyle : ข้อคิดเตือนตัวเอง : อย่าไปคุยกับกโลมมี่ให้เสียเวลา
Glomulus : =แบร่ๆๆ!=
ตัดมาที่ Bleez
เธอกลับมาที่ Ysmault ดาวหลักของ Red Lantern Corps เพื่อรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นให้ Atrocitus ผู้นำแห่ง Red Lantern ฟัง
แต่เมื่อ Atrocitus ฟังที่ Bleez พูดไม่รู้เรื่อง เขาจึงจัดการทำตามแผนการที่เขาตัดสินใจไว้ก่อนหน้านี้
และเอา Bleez ใส่ลงไปในทะเลเลือดแห่ง Ysmault เพื่อดึงความนึกคิดและเหตุผลของเธอกลับมา เพื่อให้เธอเป็นผู้ช่วยเขาในการควบคุม Red Lantern Corps
(เหตุการณ์นี้จะไปต่อที่เล่ม Red Lantern เล่ม 3 ซึ่งการตัดสินใจนี้ก็เป็นสิ่งที่จะทำให้ Atrocitus ต้องปวดหัวเสียเองในเวลาต่อมา…)
ตัดมาที่ดาวเคราะห์ Okara ดาวที่อยู่ของ Lafleeze ผู้ครอบครอง Orange Lantern Corps
Sayd : พวกนั้นกำลังจะเข้าไปในออร์เรรี่แล้วลาฟลีซ….
Lafleeze : เรียกข้าว่า “ท่าน” ลาฟลีซสิ…มันฟังดูดีกว่า…
Sayd : ได้แน่นอน ข้าไม่คิดจะไม่เคารพอะไรท่านอยู่แล้ว แต่ท่านลาฟลีซ ที่ข้าอยากบอกก็คือ อีกไม่นานพวกเขาก็จะได้รู้ความจริงแน่
Lafleeze : ทื่ข้าสนมีแค่ว่าพวกนั้นจะหยุด “เจ้านั่น” ได้โดยที่ไม่ทำให้ระบบสุริยะจำลองแสนสวยนั่นต้องเสียหาย ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน…และข้าก็อยากได้มัน! เอาล่ะที่นี้เจ้าไปเอาอาหารมาเพิ่มที่ซิ!
Sayd : ท่านต้องเข้าใจนะว่าเมื่อพวกนั้นเข้าไปข้างใน ข้าก็จะไม่อาจจะตามดูพวกเขาได้อีก แม้แต่กโลมูลัสก็ตาม…
Lafleeze : ข้าจะพูดแค่สามคำเท่านั้น
Lafleeze : “เอา”
Lafleeze : “อาหาร”
Lafleeze : “มาอีก”
ตัดมาที่ Kyle
เขากับ Glomulus สำรวจพบสิ่งที่ดูเหมือนประตูบนลูกกลมยักษ์อันหนึ่ง
Kyle ใช้พลังของแหวนสร้าง “สิ่งก่อสร้าง” ขึ้นมาเพื่อเปิดประตู แต่เมื่อเขาขอให้ Glomulus ช่วยเขาเปิดด้วย มันก็ใช้ตัวของมันเองในการแปรสภาพเป็นสิ่งของช่วย Kyle เปิดประตู เพราะตัว Glomulus นั้นเป็น “สิ่งก่อสร้าง” ที่ Lafleeze สร้างขึ้นมา มันจึงสามารถแปรสภาพตัวมันเองได้โดยไม่ต้องใช้แหวนพลัง
ทางด้าน Saint Walker กับ Arkillo ก็เข้ามาในลูกกลมยักษ์อีกอันหนึ่งได้แล้วเช่นกัน และพบว่าสิ่งที่อยู่ภายในนั้นก็คือ “ดาวเคราะห์” แถมบนนั้นยังมีสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมอาศัยอยู่ด้วย!
ทางด้าน Fatality กับ Munk ก็เข้ามาในลูกกลมได้แล้วเช่นกัน โดยดาวที่อยู่ในนี้เป็นดาวเคราะห์ที่ปกคลุมไปด้วยป่ารกทึบ
Fatality : ถ้าไม่นับว่ามันเหลือเชื่อขนาดไหนที่ใครบางคนสามารถเอาดาวเคราะห์ทั้งดวงมาบรรจุไว้ในกรงแบบนี้ได้ มันมีบางอย่างของที่นี้ที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยนะ
Munk : (ตอบเป็นภาษาเฉพาะของพวก Indigo Tribe)
Fatality : คุณก็รู้สึกได้สินะ?
Munk : (ตอบเป็นภาษาเฉพาะของพวก Indigo Tribe)
Fatality : พวกอินดิโกอย่างคุณนี่พูดไม่ค่อยเก่งสินะ?
Munk : ส่วนท่านเองก็เป็นคนที่มีความขัดแย้งอยู่ในตัวนะฟาทาลิตี้ ท่านเคยตามไล่ฆ่ากรีนแลนเทิร์นมานานนับปี แต่ตอนนี้ท่านที่มือเปื้อนเลือดมามากมายกลับสวมใส่แหวนพลังสีม่วงแห่งความรัก
Fatality : ฉันไม่คิดที่จะปิดบังอดีตของฉันเองอยู่แล้ว มังค์ กรีนแลนเทิร์นคนหนึ่งเคยทำลายดาวของฉันจนพินาศ ฉันจึงพยายามจะแก้แค้น และตอนนี้ฉันเข้าร่วมกับสตาร์แซฟไฟร์เพื่อชดเชยกับสิ่งที่ฉันเคยทำลงไป
(Fatality เป็นผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายจากดาวเคราะห์ Xanchi ซึ่งเธอก็ตามจองล้างจองผลาญ John Stewart เพราะโทษว่าดาวบ้านเกิดของเธอต้องพินาศเพราะเขาหยุดยั้งระเบิดทำลายดาวเคราะห์ไม่ได้ และได้เข้าร่วมกับ Sinestro Corps ในเวลาต่อมา แต่หลังจากศึก Sinestro Corps’s War เธอก็ถูก Star Sapphire พาไปที่ Zamaron ดาวหลักของพวกนั้น และถูกใส่ในแก้วผลึกเปลี่ยนแปลงจิตใจ ซึ่งมันได้เปลี่ยนแปลงจิตใจของเธอโดยเติมเต็มจิตใจของเธอด้วยพลังแห่งแสงสีม่วง และเธอก็ได้กลายมาเป็นสมาชิกของ Star Sapphire)
Munk : นั่นแสดงว่าท่านเริ่มเรียนรู้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแล้วล่ะ
Fatality : ก็ไม่รู้สินะ…แต่เมื่อฉันคิดถึง “ความเห็นอกเห็นใจ” ฉันนึกภาพถึงหมอ หรือนักบวช ไม่ก็นักกู้ภัย แต่คุณดูไม่เข้ากับพวกนั้นเลยนี่
Fatality : คุณเคลื่อนไหวเหมือนนักรบที่ฝึกมาเป็นอย่างดี คุณมีมือใหญ่กร้านเหมือนนักมวย และเมื่อเข้าสู่สถานที่ที่ไม่คุ้นเคยสายตาของคุณก็ตรวจสอบสถานการณ์อย่างเฉียบคมเหมือนนักการทหาร…คุณเป็นใครกันแน่ มังค์? ก่อนหน้าที่คุณจะเข้าร่วมกับอินดิโกไทร์ปคุณเคยทำอะไรมาก่อน?
ขณะที่ Munk กำลังนิ่งเงียบจากคำถามของ Fatality ทันใดนั้นก็มีนักรบจำนวนมากเข้าจู่โจมพวกเขา!
พวกเขารับมือพวกนั้นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก โดย Fatality ไม่ได้ใช้แหวนพลังด้วยซ้ำ
แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนขึ้น
หัวหน้ากลุ่ม : หยุดก่อน! ถอยออกมา!
เมื่อลูกน้องถอยไป ตัวหัวหน้าก็ตะโกนถาม Fatality
หัวหน้ากลุ่ม : เจ้าเป็นใคร และเจ้าไปเรียนวิชา “ฝ่ามือสายฟ้า” มาจากไหน?
Fatality : ฉันเรียนมาจากที่ๆห่างไกลจากที่นี่มาก จากดาวเคราะห์ที่ชื่อโอคาร่า
หัวหน้ากลุ่ม : แต่…ก็ที่นี่แหละคือโอคาร่าล่ะ!
(Okaara : เป็นดาวเคราะห์ที่เป็นที่เก็บรักษาพลังแห่งแสงสีส้ม ซึ่งในอดีตตอนที่ Lafleeze ได้ครอบครองพลังนี้ พวก Guardian ก็ทำข้อตกลงกับมันว่าถ้ามันจะยอมอยู่แต่ในดาวดวงนั้นไม่ออกไปก่อเรื่องที่อื่น ทาง Green Lantern Corps ก็จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับดาวดวงนี้อีก ซึ่ง Lafleeze ก็ตกลง และนั่นก็ทำให้ Okaara กลายเป็นสถานที่อยู่นอกเขตการทำงานของ Green Lantern Corps และทำให้พวกอาชญากรหนีคดีเลือกมาอาศัยอยู่ที่นั่น ซึ่งสมัยก่อน Fatality ก็อาศัยอยู่ที่นั่นเช่นกัน แต่ทำไมพวกนี้ถึงเรียกดวงดาวที่อยู่ในทรงกลมนี้ว่า Okaara กันล่ะ?)
ทางด้านพวก Kyle กับ Glomulus ดาวที่อยู่ในทรงกลมที่พวกเขาเข้ามานั้นเป็นดาวที่ดูเจริญรุ่งเรืองด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง
แต่มีบางอย่างผิดปกติ…คนที่อยู่ที่นี่แสดงท่าทีกลัวจนลนลานเมื่อเห็น Glomulus?!
Kyle พยายามจะสอบถามเหตุผล แต่ก็ไม่ได้เรื่อง จนกระทั่งเขาไปถึงสถานที่ๆเหมือนเป็นวิหารขนาดใหญ่ เขาได้พบกับคนที่น่าจะเป็นนักบวชซึ่งกล่าวหาว่าเขาเป็นผู้รับใช้ของ “สัตว์ร้าย” ศัตรูเก่าแก่แต่ครั้งโบราณ ของ “อัครเทวดา” ที่คอยปกป้อง Orrery แห่งนี้
และเมื่อ Kyle เห็นรูปสลักของ “สัตว์ร้าย” เขาก็ถึงบางอ้อทันที…เพราะมันคือรูปสลักของ Lafleeze!!
Kyle : อ๋อ…นี่เองเรอะ “สัตว์ร้าย” ที่ว่าน่ะ..!
เขาหันไปหา Glomulus ทันที
Kyle : กโลมมี่ แกรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?
ซึ่ง Glomulus ก็ส่ายหัวว่าไม่รู้
ทันใดนั้นก็มีเสียงหวูดดังขึ้น
Kyle : อะไรอีกล่ะน่ะ?
นักบวช : นั่นคือเสียงที่แสดงถึงจุดจบของเจ้ายังไงล่ะ เช่นเดียวกับพวกยานอวกาศที่อยู่ข้างนอกนั่น มันคือเสียงแตรที่เรียกผู้สร้างและผู้ปกป้องของเรามาที่นี่
นักบวช : ท่านจะไม่ถูกหลอกด้วยรอยยิ้มจอมปลอมของเจ้า ท่านจะมองทะลุถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้า
นักบวช : อัครเทวดา “อินวิคตัส” ที่อยู่ภายในดวงอาทิตย์นั้นคอยเฝ้าดูแลเราทุกคนอยู่
นักบวช : ท่านปกป้องเรา และดูแลให้เรามีศรัทธาอยู่เสมอ
นักบวช : พวกเราทุกคนบนออร์เรรี่นี้เป็นเหมือนลูกของท่าน
นักบวช : ท่านได้ยินเสียงสวดอ้อนวอนของเรา ท่านรู้ถึงความสำเร็จของเราและการเดินทางของเรา
นักบวช : และบัดนี้ท่านก็รู้ถึงการมาของเจ้าแล้ว กรีนแลนเทิร์นเอ๋ย
นักบวช : เจ้าได้นำข้ารับใช้ของสัตว์ร้ายมายังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ และเพื่อชดใช้ความผิดนั้นเจ้าจะต้องได้รับความทุกข์ทรมาณสุดจะบรรยาย
นักบวช : เพราะบัดนี้อินวิคตัสได้ตื่นจากการหลับไหลแล้ว และไม่ว่าเจ้าจะพูดหรือทำอะไรก็ไม่อาจช่วยอะไรตัวเจ้าได้อีกแล้ว
Invictus คือใคร? เขาเคยมีข้อพิพาทอะไรกับ Lafleeze มาก่อนอย่างนั้นหรือ? : โปรดติดตามตอนต่อไป
บุรุษไร้พ่ายเท่จัง สีส้มด้วย ไม่รู้ตัวใหญ่แค่ไหน
Most powerful enemy <- ท่าทางจะโหดมากที่เดียว
ขอบคุณที่สปอยครับ ^^
ลึกลับซับซ้อน
ไอ้ตัวนี้น่าจะเจอกับ Atrocitus นะ น่าจะสูสี
This is Okaara! ประโยคนี้คุ้นๆนะ ล้อเรื่องอะไรรึเปล่า? 555
ดาวที่ Saint Walker กับ Arkillo ไปเจอ ประชากรดูเหมือน ดาวของ starfire เลย lol
อ่า ยิ่งอ่านยิ่งงงนะ หัวข้อนี้ ปริศนาเยอะเหลือเกิน T^T
@NOpower:
จริงๆแล้วในหน้าที่ผมไม่ได้เอามาลง พวกคนที่ Saint Walker กับ Arkillo ไปเจอก็เรียกดาวของพวกเขาว่า Tarmaran (ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นชื่อดาวของ Starfire) จริงๆนั่นแหละครับ แต่ผมไม่ทราบว่ามีนัยสำคัญเลยข้ามไป
เห็นชื่อตอนแรกนึกถึงกาแลคตัส…
พอ Bleez ลงไปในบ่อเลือดเสร็จ แล้วก็ลืมไปเลยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงไม่ยอมเล่าให้ Astro ฟัง
อา ไม่วับซ้อนจนปวดหัวมากนัก แถมสนุกอีกต่างหาก
สรุปหัวนี้ ถ้าเสียเงินซื้อสะสมไว้ก็ไม่เลวทีเดียวเลยนะเนี่ยอ่ะ
สนุกมากมาก
ภาคนี้ ลาฟรีซคุง เป็นบอสใหญ่สินะ
ไอ้วายร้าย อนิวิคตัส จะโชว์เมพกลายเป็นตัวละครใหม่ที่สำคัญหรือเปล่าน้า
รอติดตามต่อไป
สนุกมากอ่ะ
ฮามากเล่มนี้ ปริศนาเยอะจริง ๆ
กำลังแอบคิดว่า Bleez จะโผล่มาอีกในตอนหลังแน่ๆเลย
แต่ Invictus นี่ท่าจะเมพใช้ได้เลย นอนเล่นอยู่ในดวงอาทิตย์ เลยนา!!