Fantastic Four #584 Three Part 2


Future Foundation

   

กลุ่ม Future Foundation นั้น ถูกก่อตั้งโดย Reed Richards (Mr.Fantastic)

โดยมีเป้าหมายหวังเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าแก่มวลมนุษยชาติ  (Fantastic Four #579)

   

Reed ได้รวบรวมเหล่าเด็กรุ่นใหม่ผู้มีมันสมองระดับเมพเอาไว้ในทีมนี้

และได้เฝ้าสั่งสอนและหล่อหลอมให้เด็กเหล่านี้เพื่อหวังให้เด็กเหล่านี้แก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

 

ในบทความนี้ผมจึงจะแนะนำเหล่าเด็กสุดเมพเหล่านี้ให้ทุกท่านได้ทราบถึงที่มาและความสามารถของเด็กเหล่านี้แบบคร่าวๆกันนะครับ

   


Alex Power

   

เด็กหนุ่มผู้มีความสามารถในการควบคุมแรงโน้มถ่วงรอบๆตัวเองได้ ทำให้เจ้าตัวสามารถบินได้ หรือแม้แต่สร้างแรงระเบิดรอบตัวได้

และยังสามารถใช้แรงโน้มถ่วงบีบอัดทำลายเหล็กกล้าได้ ว่ากันว่าแม้แต่เหล็กกล้า อย่าง Adamantium ก็ทำลายได้ครับ

  

  

Alex เคยเป็นผู้นำกลุ่ม Power Pack กลุ่มฮีโร่ที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยมีมา ฉายาของ Alex ก็คือ Zero-G ครับ

สมาชิกของ Power Pack ประกอบด้วยเหล่าตระกูล Power ตามชื่อทีม ได้แก่

  

Alex Power  (Zero-G): 12 ขวบ (ในตอนนั้น)

 Julie Power (Lightspeed): 10 ขวบ ผู้บินเร็วแถมมีรุ้งพ่วงท้ายด้วย

Jack Power (Mass Master): 8 ขวบ ผู้ปรับความหนาแน่นในร่างกายให้กลายเป็นก้อนควันได้

Katie Power (Energizer): 5 ขวบ ผู้มีความสามารถในการปล่อยพลุไฟได้

  

ปัจจุบันสมาชิกเหล่านี้ต่างแยกย้ายไปมีชีวิตของตัวเองเรียบร้อย

Julie Power ไปอยู่ที่ Avengers Academy ครับ คนอื่นๆก็ปกติสุขดีครับ



Artie

(Arthur Artie Maddicks)

 

Mutant ที่มีผิวสีแดง และมีตุ่มขึ้นที่หัว เด็กคนนี้มีความสามารถในการฉายภาพที่คิดได้ครับ

ความสามารถของ Artie ก็นี้มีผลข้างเคียงคือทำให้ Artie เป็นไบ้พูดไม่ได้นั่นเอง (ว่ากันว่าเป้นเพราะสมองในส่วนการพูดถูกแปลงสภาพไป)

นอกจากนี้ Artie สามารถทำกระบวนการย้อนกลับ ให้ฉายภาพความคิดของคนอื่นได้ด้วย

 Artie เคยฉายสูตรคำนวณทางเคมีในหัวของพ่อเขา ทำให้คุณพ่อสามารถแก้ตัวแปรที่ผิดพลาดได้อย่างง่ายดาย

   

พ่อของ Artie คือ ดร. Carl Maddicks เป็นเพื่อนกับ The Beast

ดร. Carl ตายเพราะเกิดคลั่งกลัวคนจะมาทำร้ายลูกตัวเองจึงเอาปืนไล่ยิง รปภ. ตาย ต่อหน้าต่อตาของ Artie ครับ



ภายหลัง Artie ได้พบกับ Leech จนกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน

(คงเพราะต่างคนต่างมีรูปร่างที่น่าเกลียดเหมือนๆกัน)

จากนั้นทั้งคู่ต่างผจญภัยไปไหนต่อไหนด้วยกัน

   

กระทั่งในเหตุการณ์ M-Day

Artie คือหนึ่งในประชากร Mutant 98%  ที่เสียพลังของตัวเองไป

   

แต่เคราะห์ดีที่ Franklin Richards ได้ร่วมมือกับ Valeria น้องสาว สร้างหมวกอัจฉริยะขึ้นมา

เพื่อช่วยให้ Artie ฉายภาพความคิดของตัวเองออกมาได้เหมือนเดิมครับ



Leech

 

 อดีตเด็ก Mutant ตัวเขียวที่ถูกพ่อแม่ทิ้งตายอยู่ข้างทาง

แต่ Leech ก็ได้รับการเลี้ยงดูและเข้าอยู่ในกลุ่ม Morlocks กลุ่ม

  

เวลาต่อมา หลังจากพ่อของ Artie โดนยิงตายไม่นาน

Artie ก็ได้พบกับ Leech ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในเวลาไม่นาน Leech จึงพา Artie เข้ากลุ่ม Morlocks

 

โชคร้ายที่หลังนั้นกลุ่ม Morlocks นี้ ถูก Mr. Sinister นำทีมทหารโคลนนิ่ง บุกฆ่าล้างบางทั้งกลุ่ม

แต่ยังเคราะห์ดีที่ กลุ่ม  Power Pack นำทีมโดย Alex Power มาช่วยเอาไว้  (คงรู้จักกับ Alex ในตอนนั้น)

  

หลังจากกลุ่ม Morlocks แตก ทั้งคู่จึงย้ายไปอยู่ใน รร. ชื่อ Massachusetts Academy ภายใต้การดูแลของ Emma Frost

ในช่วงนั้นทั้งคู่ได้พบกับ Franklin Richards ด้วย



ในเหตุการณ์ M-Day

Leech เป็น 1 ใน 198 Mutants ที่พลังไม่หายไป ครับ

  

พูดถึงความสามารถของ Leech ก็ไม่มีอะไรมากครับ ก็แค่ “ลบล้าง” พลังทุกๆอย่างในโลกได้ในระยะทางไม่เกิน 10 หลา

พลังที่พูดถึงนี้รวมถึงพลังของพวก Mutants และพลังพิเศษของพวกยอดมนุษย์ด้วยนะครับ

(ในหนัง X-Men ภาค 3 จะเห็นเด็กหัวโล้นคนนึงที่ลบล้างพลัง Mutants คนน้นแหล่ะครับ Leech)

   

Leech สามารถควบคุมระดับการลบล้างได้ว่าจะให้เป็นแค่ การลดพลังให้เบาลงหรือจะลบพลังไปชั่วคราวก็ได้

Leech เคยใช้พลังของตนเอง คุมพลังเปลี่ยนจักรวาลของ Franklin Richards ได้

และยังใช้เคยใช้พลังของตนเอง ล้างพลังของ Cyclops ทำให้ Cyclops สามารถมองเห็นคนอื่นได้โดยไม่ใส่แวนด้วย

   

 ล่าสุด Leech ยังได้ใช้พลังตัวเองช่วย Hazmat (สมาชิกของ Avengers Academy) ควบคุมพลังของเธอ

ทำให้เธอสามารถถอดชุดกันพิษสีเหลืองของเธอได้

   


อ้อ ลืมอธิบายไปว่า Hazmat มีความสามารถอะไรครับ

   

Hazmat มีความสามารถในการแพร่กระจายรังสีและสารพิษออกมาจากร่างกายเธอครับ

ทำให้เธอต้องอาศัยอยู่แต่ในชุดกันพิษสีเหลือง เพราะเธอควบคุมรังสีและพิษเหล่านี้ไม่ได้

ร่างกายของ Hazmat ยังเคยระเบิดเป็นเหมือนระเบิดนิวเคลียร์มาแล้วด้วย

  

    

Tong, Mik, Korr และ Turg

 

ก่อนพูดถึง เด็ก 4 คนนี้ ผมขอเกริ่นนำนิดนึง

  

เผ่า Subterraneans หรือ Moloids นั้นเป็นเผ่าที่ถูก พวก Deviants โคลนขึ้นมาเพื่อเป็นทาสรับใช้แทนพวกมนุษย์ปกติที่ Deviants จับมาเป็นทาส

หลังจาก เหล่า Subteeaneans เป็นอิสระจาก Deviant ก็ต่างหนีกระจัดกระจายกันไป

  

บางส่วนอาศัยอยู่ใต้ดินรู้จักกันในชื่อ พวก Moloids หรือ Mole People และอยู่รับใช้ Mole Man ตัวร้ายคลาสสิคใน F4

  บางส่วนอยู่รับใช้  Tyrannus ตัวร้ายตนหนึ่งแห่งจักรวาล Marvel รู้จักกันในชื่อ พวก Tyrannoids

(ทำไมอยู่ที่ไหน ก็เป็นได้แต่เบ๊เค้าวร้า)



The Forever City of the High Evolutionary

   

ซึ่งเมืองนี้เป็นถือได้ว่าเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ในชีวิตของ High Evolutionary เลยก็ว่าได้

เพราะเดิมที High Evolutionary สร้างเมืองนี้ขึ้นก็เพื่อใช้เป็นห้องทดลองแบบปิดขนาดยักษ์เพื่อองค์ความรู้แห่งการวิวัฒนาการ

จนพี่แกศึกษาจนแตกฉาน แล้วกะจะเอาเมืองนี้ขึ้นมาบนผืนโลกเมื่ออวดให้ทั่วโลกได้เห็นกัน


แต่เกิดความผิดพลาดขึ้นทำให้เครื่องจักรปล่อยรังสีวิวัฒนาการ เปลี่ยนรูปร่างของผู้คนที่อยู่ในเมือง

ทำให้ Evolutionary ต้องรีบพาลูกน้องเผ่นหนีออกจากเมืองซะก่อน โดยที่ยังไม่ได้ปิดเครื่องจักรที่ปล่อยรังสีลง


จนกระทั่ง Moloid ของ Mole Man กลุ่มหนึ่ง บังเอิญไปเจอเมืองนี้และเข้าไปข้างในตัวเมืองด้วยความอยากรู้ยากเห็น

ทำให้รังสีที่เมืองนั้นปล่อยมาเปลี่ยนสภาพ Moloid ให้กลายเป็นมนุษย์ยุคหินอย่างที่เห็นใน F4 ที่ผมเคยแปลไปก่อนหน้านี้

แต่อย่าให้รูปร่างหน้าตามันหลอกได้นะครับ

Moloid ที่วิวัฒนาการแล้วกลุ่มนี้ มีความฉลาดกว่า Moloid ทั่วๆไป แถมยังทรงพลังกว่ามากด้วย (เพราะรังสีวิวัฒนาการที่ปล่อยอกมา)



คราวนี้มาเจาะลึกถึงเด็กๆ Moloid ท้ง 4 คนนี้บ้าง

Moloid ในทีม Future Foundation นั้นประกอบด้วย Tong, Mik, Korr และ Turg


เด็กทั้ง 4 เกิดอยู่ในเมือง  The Forever City of the High Evolutionary นี่แหล่ะครับ

และเพราะรังสีวิวัฒนาการที่ปล่อยออกมาทำให้เสริมสร้างความฉลาดให้กับเด็กกลุ่มนี้เฉกเช่นเดียวกับ Moloid คนอื่นๆที่อยู่ในเมือง

ทำให้เด็กทั้งสี่สามารถคิด คำนวณ และพูดคุยกันได้


เพียงแต่เนื่องจากรูปร่างหน้าตาแกไม่เข้าพวก (คล้ายกับพวก Moloids มากไป)

ทำให้ทั้งสี่ถูกปฎิบัติเยี่ยงสัตว์และถูกขับไล่ออกจากกลุ่ม และบางคนก็ถูกขังเอาไว้


Tong, Mik, Korr คือ กลุ่มที่ถูกจับขังเอาไว้ฝยกรง

จนกระทั่งถูก The Things ช่วยเอาไว้ภายหลัง

  

Tong : คือ Moloid ที่กำลังอุ้มตัวเล็กอยู่ ซึ่งเด็กเล็กคนนี้ชื่อ Korr ครับ

Korr : เป็น Moloid คนเดียวที่ไม่ใส่แว่นครับและน่าจะเป็นน้องคนเล็กสุด

Mik : จัดว่าเป็น Moloid ที่ฉลาดที่สุดในกลุ่มครับ เก่งการคำนวณทางคณิตศาสตร์มาก

และยังเป็นคนเสนอให้ Moloid ทั้งสี่ เข้าร่วมกลุ่ม Future Foundation



ในขณะที่ Turg นั้นต่างออกไป

เพราะเขาหนีออกมาจากเมือง The Forever City of the High Evolutionary ก่อนจะโดนจับเข้ากรง

  

จากนั้นก็ถูก Mole Man จับมาใช้งานจนเมื่อเจ้าตัวออกมาบนพื้นดินเพื่อทำงานให้ Mole Man

ก็โผล่มากลางถนน จนรถชนจนพังไปทั้งร่าง

แต่พวก Moloid คนๆอื่นก็ใจดี (?) ช่วยเด็ดหัวของเขา เอาไปให้พวก F4



ภายหลังเหล่า F4 ช่วยนำหัวเขาเข้าเครื่องจักรกลทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวและมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแสนนาน



Dragon Man

  

จักรกลมีชีวิตที่มีรูปร่างเหมือนมังกร ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในแอนดรอยด์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา

มีความทนทานต่อพลังแทบทุกชนิดทั้งความเย็น พลังอุลตร้าโซนิค และสามารถพ่นไฟที่มีความร้อนถึง 8000 องศาฟาเรนไฮ ออกมาได้

  

Dragon Man ถูกสร้างขึ้นโดย ศจ. Gregson Gilbert แห่งมหาวิทยาลัย Empire State แต่ถูกทำให้มีชีวิตโดยตัวร้ายนักเล่นแร่แปรธาตุ ชื่อ Diablo

 เดิมที Dragon Man นั้น เป็นตัวร้าของ เหล่า F4  และเคยต่อกรกับฮีโร่ในจักรวาล Marvel

   

ทั้งถูกจับตัวไปศึกษาโดย Henry Pym, ต่อยกับ Hercules, กลายเป็นมาสคอตก่อนจะถูกปล่อยเกาะโดย กลุ่ม X-men ยุคแรก, เคยบุกไปขังเมีย Namor

เคยเป็นเพื่อนเล่นกับกลุ่ม Power Pack และเคยปะทะกับ Captain America, Spider-Man กลุ่ม Nova Crops หรือแม้แต่กับ Hulk ก็เคย และอื่นๆอีกมากมาย


  

 

จนกระทั่งภายหลัง Dragon Man ได้ถุกพาเข้าร่วมกลุ่ม Future Foundation

โดยมี Valeria Richards เป็นคนรีโปรแกรมให้ซะใหม่

ทำให้บัดนี้ Dragon Man กลายเป็นคน เอ๊ย มังกรฉลาด และสามารถพูดได้!!



Bentley 23


ร่างโคลนของตัวร้ายชื่อ Wizard หรือ Bentley Wittman หนึ่งในวายร้ายที่ฉลาดมากๆของ F4

เดิมที Bentley ชื่อ Thirty-Two ก็เพราะ เขาเป็นร่างโคลนลำดับที่ 32 นั่นเอง

 

โดยน้อง Thirty-Two นั้นไม่ยอมมีชื่ออื่น เพราะว่าถูกสั่งสอนมาว่า ถ้าไม่คู่ควรกับชื่อนั้นก็ไม่ควรมีชื่อนั่นเอง

แต่กลุ่ม F4 ก็มักจะเรียกน้องเขาว่า Bentley ตามชื่อจริงของ Wizard

  

แต่ภายหลังเหมือน Marvel พิมพ์ชื่อผิดยังไงมิทราบ ทำให้ตัวเลขสลับกันกลายเป็น ชื่อ Bentley 23 แทนนั่นเอง

   


Wizard โคลนตัวเองขึ้นมาก็ไม่ใช่เพื่ออะไรครับ แค่ใช้เป็นตัวคอยขับเคลื่อนหุ่นยนต์

(โดยมี Wizard เป็นคนควบคุมอยู่ระยะไกล) และฝังระเบิดพลูโตเนี่ยมไว้ในหัว เพื่อระเบิดเมืองทั้งให้ราบแค่นั้นเอง!!!!

  

พี่แกลงทุนทำไปก็เพราะ พี่ Wizard แกใช้คณิตศาสตร์คำนวณดูแล้วว่า ยังไงโลกก็ต้องวิบัติแน่ๆ เลยขอบ้าซักทีเหอะ!

  

(ซึ่ง Reed เองก็รู้เช่นเดียวกันครับ พี่แกเลยเครียดมากๆ จนต้องหนีไปซบอกหา The Council ตามที่เคยบอกในเล่มก่อนหน้านี้

แล้วก่อตั้งกลุ่ม Future Foundation นี้ขึ้นมา)



Reed รับเด็กน้อง Bentley คนนี้มาเลี้ยง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า

แม้ว่าน้อง Bentley จะเป็นร่างโคลนของวายร้ายจิตเพี้ยน แต่เขาสามารถสร้างสิ่งที่ดีกว่าได้

ไม่ใช่อยู่เป็นผีบ้า งอมืองอเท้า จมปลักกับอนาคตที่ยังไม่เกิดเหมือน Wizard



Wu กับ Vii

 

ทั้งสองผู้สืบสกุลของราชวงศ์ Atlantis ยุคโบราณ

(ที่กำลังจะเจรจากับ Namor ในเล่มต่อไปนี่แหล่ะครับ)

   

Wu นั้นเป็นผู้ชาย ส่วน Vii นั้นเป็นผู้หญิงครับ

รายละเอียดหรือความสามารถยังไม่ได้รับการเปิดเผยเท่าไรครับ

  

    

และคนสุดท้าย เธอคนนี้ไม่พูดถึงไม่ได้ครับ


Valeria Richards


เรื่องราวเริ่มขึ้นในจักรวาลชื่อว่า Heroes Reborn ซึ่งเป็นจักรวาลขนาดเล็กที่ Franklin Richards ได้ใช้พลังสร้างขึ้นมา

ในช่วงสงครามกับ Onslaught  ไปอยู่กันที่นั่น ซึ่งเป็นช่วงที่เหล่าฮีโร่ตายยกจักรวาล Marvel นั่นเอง

   

ในจักวาลนี้เอง วันหนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งอ้างตนเองว่าเป็น Marvel Girl โผล่ขึ้นมากลางดงของพวก F4

ซึ่งภายหลังเรื่องราวได้เปิดเผยออกมาว่าเธอคือ Valeria Von Doom

ลูกสาวของ Victor von Doom กับ Baroness Susan von Doom หรือก็คือ Susan ในโลกนั้น นั่นเอง!



 ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ Susan เชื่อว่าเด็กสาวคนนี้โกหก

และเธอไม่มีทางยอมรับว่าในอนาคตตนเองจะได้เป็นภรรเมียของ Doom เด็ดขาด

 

ถึงขนาดเถียงกับ Reed จนของขึ้นจน Susan ก็เผลอพูดคำว่า “ยัยนั่นมันไม่ใช่อะไรเลยสำหรับชั้น ยัยนั่นตัวปลอม ยัยนั่นมันเป็นปีศาจ”

บังเอิญว่า Valeria ผ่านมาได้ยินพอดี!

   

(Reed และ Susan เถียงกันเพราะ Reed อยากรู้ว่า Valeria คือใครกันแน่เพราะคลื่นสัญญาณที่ Valeria ปล่อยออกมา คล้ายกับลูกสาวของทั้งคู่ที่เคยตายไปนานตั้งแต่ยังไม่เกิด

แต่ Susan ไม่สน ไร้สาระ และบอก Reed เลิกสืบหาข้อมูลได้ แล้วก็พูดประโยคดังกล่าว)



แม้คำพูดนั้นจะเสียดแทงหัวใจของ Valeria ผู้เป็นลูกอย่างมาก

แต่ในที่สุด Susan ก็ยอมรับเธอเป็น เพื่อน (แต่ไม่ยอมรับอนาคตที่ตนต้องแต่งกับ Doom)

และให้เข้ามาอยู่ที่ร่วมทีมกัน และ Valeria ก็อยู่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับ เหล่า F4 นับแต่นั้น



จนกระทั่งเมื่อมีการรวมจักรวาล Marvel หลัก กับจักรวาล Heroes Reborn ทำให้ความจริงต่างๆปรากฎออกมาว่า…..

ในอดีตนั้น Reed และ Susan เคยมีจะมีลูกคนที่สองหลังจากให้กำเนิด Franklin แล้ว

แต่เนื่องจาก Susan มีสภาพร่างกายที่อ่อนแอมากไป ทำให้เธอสูญเสียลูกของเธอไป

 (ตอนนั้น Reed กำลังงานเข้า ทำให้ไปหา Susan ไม่ทัน)


ชื่อของเด็กคนนั้นก็คือ Valerie Meghan Richards



จากนั้น Roma บุตรสาวของ Merlyn และเป็นผู้คอยปกป้องโลกคู่ขนานต่างๆเอาไว้

Roma นั้นรู้ว่าเด็กสาวคนนี้จะมีส่วนสำคัญต่ออนาคตในภายภาคหน้า

Roma จึงแนะนำให้ Franklin ใช้พลังเพื่อย้อนเวลาไปช่วยน้องสาวของตัวเอง

   

จากนั้น Franklin ก็ส่งเด็กไปอยู่ในอีกโลกคู่ขนานนึง ทำให้ทั้ง Susan และ Reed คิดว่าเด็กตายไปแล้ว

ภายหลังเด็กได้เติบโตขึ้นแล้วกลายเป็น Valeria Von Doom นั่นเอง

 

  

หลังจากที่ Franklin ได้ใช้พลังของตนกับ พลังของ Galactus รวมจักรวาลทั้งสองเข้าด้วยกัน

Valeria ก็ได้กลับไปเกิดในท้องของ Susan อีกครั้ง

Susan ก็ดีใจมากๆเพราะในที่สุดเธอก็ได้ให้กำเนิดเด็กผู้หญิงที่เธอคิดว่าได้ตายไปแล้ว อีกครั้ง

ทุกๆคนจึงได้รู้ว่า พ่อแท้ๆของ Valeria นั้น ไม่ใช่ Doom แต่คือ Reed นั่นเอง



แต่ตอนที่เธอจะให้กำเนิด Valeria นั้นเองร่างกายเธอก็ทรุดหนักลงจนไม่สามารถควบคุมพลังจิตของเธอได้

ทำให้ร่างกายเธอสร้างโดมพลังจิตรเอาไว้รอบตัวของเธอเอง

   

คราวนี้ Johny (Human Touch) ได้ขอความช่วยเหลือจาก Dr.Doom (ตอนนั้น Reed กำลังรับศึกหนักจากศัตรูอีกกลุ่มอยู่ อีกแล้ว!)


Dr.Doom ยอมช่วยเหลือโดยมีเงื่อนไขว่า เขาต้องเป็นคนตั้งชื่อเด็ก

จากนั้น Doom ก็ใช้ทั้งเวทย์ศาสตร์และวิทยาศาสตร์ช่วยเด็กสาวตัวน้อยให้คลอดออกมาได้

Doom ได้ตั้งชื่อเธอว่า Valeria ตามชื่อคนรักเก่าที่ตายไปของเขา (พี่ Doom แกเป็นคนฆ่าเองแหล่ะ)

ก่อนไป พี่ Doom แกแอบกวนบาทาด้วยการอบใส่เวทย์เอาไว้ในตัว Valeria เพือใช้จัดการ F4 ลับหลัง แต่ตอนนี้สามารถแก้ได้แล้วครับ



แม้ Valeria von Doom จะมีพลังมากมาย

แต่ Valeria Richards  คนปัจจุบันไม่มีพลังพิเศษอะไรครับ

  

ยกเว้นแต่มีสมองที่ฉลาดมากๆ

ฉลาดระดับเดียวกับ Reed เลย (แต่อายุห่างกันเป็นโยด)

  

แต่หลายครั้งที่ Valeria เลือกที่จะแกล้งไม่ฉลาด

เพราะเธอได้คำนวณแล้วว่าวิธีนี้ทำให้เธอได้ใกล้ชิดครอบครัวเธอมากกว่าและทำอะไรได้สะดวกกว่านั่นเอง


  

เมื่อ Future Foundation ได้ถูกก่อตั้งขึ้น ผลงานแรกของเด็กๆเหล่าร่วมกันทำก็คือ……….

 

Thing:  ขอให้มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆนะว้อย เจ้าหัวยางยืด

Thing:  คนกำลังจะหลับสบายอยู่แล้ว นายก็รู้ดีว่าชั้นชอบนอนเฝ้าพระอินทร์แค่ไหนน่ะ!?

 

Mr.Fantastic:   เอาเป็นว่า นายนั่งลงก่อนนะ Ben

 

Thing:  เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย?

 

Mr.Fantastic:   เอาล่ะ Val ลูกเริ่มได้เลย

 

Valeria:   คืองี้ค่ะ ลุง Ben ก็อย่างที่ลุงรู้มาว่าป๊ะป๋าของหนูได้เปิดสอนชั้นเรียนพิเศษให้กับพวกหนู

Valeria:   แล้วป๋าหนูก็อยากรู้ว่าพวกหนูสามารถทำอะไรได้บ้าง ป๋าจึงให้พวกเราเลือกงานกลุ่มที่อยากทำกันเอง

 

Valeria:   พวกหนูเองก็ถกกันไปซักพัก พวกหนูก็นึกไอเดียสุดเจ๋งมาหลายเรื่องเลยล่ะ…

 

Dragon man:   ผมเสนอให้สร้างเครื่องเปลี่ยนอนุภาค (Mass-Energy Converter) ครับ

 

Thing:  อา….ฮะ…อืม….

 

Wu:  ไอ้ผมก็คิดว่าไอเดียสร้างอาหารเคมีที่มีครบทั้งห้าหมู่จะผ่านฉลุยซะอีก

 

Thing:  นั่นฟังดู ไม่ค่อยจะดีซักเท่าไรมั้ง

 

Bentley 23:   ยังไงผมก็คิดว่า เราน่าจะสร้างเลเซอร์สังหาร (Death Ray) ดีกว่า

 

Thing:  อ่า นี่ก็อย่างอึ้งเลยวุ้ย!

 

Valeria:   แต่สุดท้ายพวก Moloid ก็เสนอมาว่า โปรเจคแรกของพวกเรา น่าจะเป็น คุณลุง นี่แหล่ะ



 

Tong กัMik:  ชาบูๆ Grimm ผู้กอบกู้จักรวาลจงเจริญ!

 

Thing:   โอ๊ย! ชาวโลกเอ๊ย ขอล่ะ!

Thing:   งานนี้ชั้นจะได้อะไรละเนี่ย?

Thing:   รองเท้าบู้ททะยานฟ้าเรอะ? รึว่าหุ่นยนตร์ผู้ช่วยหุ่นสะเบิ้มกว่าน้อง Siri?

Thing:   ถ้านายกับพวกหนูๆทำให้ชั้นเจ๋งกว่านี้ได้ละก็นะ…

 

Mr.Fantastic:   นี่ Ben

 

Thing:  อะไรอีกฟระ?

 

Valeria:   พวกหนูรู้วิธีที่จะรักษา ลุง Ben ได้แล้วค่ะ ….ทำนองนั้น

  


Thing:  ………

Thing:  ชั้นไม่ได้ว่างพอจะมาเสียเวลาทดลองอะไรแบบนี้ว่ะ

 

Mr.Fantastic:  เฮ้ย Ben เดี๋ยวก่อน คือว่า…..

 

Thing:   Reed พวกเราบากบั่นทุ่มเทเสียเวลามาเป็นปีๆ ยังรักษากันไม่ได้เลย

Thing:   แล้วมาตอนนี้ นายกำลังจะบอกชั้นว่า

Thing:   กลุ่มเด็กโข่งไม่กี่คนนี่จะมาฉลาดกว่าคนที่ฉลาดที่สุดในจักรวาลอย่างนายเรอะ?

Thing:   นายกำลังจะพูดอะไรทำนองนี้ใช่มั๊ยวะ?

 

Mr.Fantastic:   มันเป็นไปแล้วจริงๆ!



Tong:  ปัญหาจริงๆ ของเรื่องนี้ก็คือ  ตลอดเวลาที่ผ่านมา ดร. Richards มัวคิดแต่พยายามที่รักษาคุณ

Tong:  …….ให้หายขาดอย่างสมบรูญ์ครับ

 

Tong:   ทว่าเมื่อร่างกายของคุญอาบร้งสีคอสมิคไปแล้ว

Tong:   ร่างกายของคุณจะถูกแปลเปลี่ยนไปถึงระดับโครโมโซมไปชั่วนิรันดร์

 

Turg:  แต่อย่างไรก็ดี ยังมีเรื่องสำคัญประการที่ทำให้คุณแตกต่างกับคนอื่นๆ

 

Mik:   ทั้ง Mr. Fantastic, Invisuble Woman และ Human Touch สามารถ เปิด และ ปิด พลังของตนเองได้

 

Thing:   คิดว่าชั้นไม่่รู้เรื่องนี้รึไง

Thing:   ชั้นต้องมาติดอยู่ในไอ้……

 

Alex:   ฟังพวกเราพูดให้จบก่อนสิครับ คุณ Ben



Alex:   ประเด็นที่สำคัญของเรื่องนี้ก็คือ ไอ้ปุ่ม เปิดพลัง ของลุง เป็นพลังทางบวกกับร่างกายลุงมาตลอด

Alex:   คิดซะว่า เหมือนกับว่า ปุ่มเปิดนี้เป็นสภาพปรกติ (ระยะพัก/Resting State) ตามธรรมชาติของร่างกายคุณ


Valeria:   ลุง Ben คะ ลุงน่ะ อยู่ในสภาพแบบนั้นมาโดยตลอดนะคะ

Valeria:   และเพราะความจริงอันนี้แหล่ะ ที่ทำให้ป๋าพลาดแล้วพลาดอีก


Dragon man:   ดร.Richards มักพยายามหาทางทำให้คุณกลายเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์อีกครั้ง

Dragon man:   แต่ว่ารังสีคอสมิคได้เปลี่ยนให้คุณกลายเป็น The Thing อย่างสมบูรณ์แบบไปแล้ว


Dragon man:   เหมือนกับการพยายามบอกให้สุุนัขไม่เป็นสุนัข หรือพยายามทำให้ต้นไม้ ไม่ใช่ต้นไม้ นั่นแหล่ะครับ

Dragon man:   การรักษาแบบนั้นจึงขัดกับโครงสร้างพื้นฐานของตัวตนของคุณเต็มๆ


 Alex:   ฉะนั้นพวกเราก็เลยเริ่มจัดการกับปัญหาโดยใช้วิธีที่ตรงข้ามกับวิธีเดิม

Alex:   แล้วเราก็ได้เจ้านี่ออกมา


Alex:   ยารักษาครอบจักรวาล


Bentley 23:   ชั้นว่าก่อนจะดื่ม เราน่าจะโคลนคุณลุงเค้าเอาไว้ซักหน่อยก็ดีนะ


Bentley 23:   เอาไว้กันพลาดไง

  

(หนู Bentley จ๊ะ มาให้คนแปลตบเกรียนทีนึงจิ! ลุง Ben แกยิ่งเสียวๆอยู่!!)



Turg:   ในขณะคนอื่นๆเมื่อเข้าสู่สภาวะ ปิดสวิท

Turg:   เซลล์ต่างในร่างกายจะเริ่ม สะสม (ชาร์ท) พลังคอสมิคเอาไว้มากๆ

Turg:   จนทำให้คนๆนั้นมีสภาพร่างกายหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป

   

(คิดง่ายๆครับว่า เดิมเราเป็นมนุษย์ไฟ มีไฟลุกท่วมตัวเลย ถ้าเราเกิดสะสมพลังไฟเอาไว้ในเซลล์มากๆ

ไฟที่เคยออกมาก็จะไปอยู่ในเซลล์ของเรา ทำให้เรามีสภาพเหมือนคนทั่วไปนั่นเองครับ)

 

Turg:   ถ้าร่างกายของคุณมีอะไรแบบนี้อยู่ตั้งแต่หลายปีที่แล้วละก็

Turg:   คุณก็จะสามารถเปลี่ยนร่างให้กลับไปเป็นคนธรรมดาและร่างหินกลับไปกลับมาได้ตามต้องการ]

Turg:   อย่างน้อยๆก็คงเปลี่ยนมันได้เกือบทุกๆวันแหล่ะ

 

Turg:   แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้การอยู่ในภาวะอิ่มตัวแบบนี้มากไป ทำให้ระยะเวลาที่จะเปลี่ยนนั้นสั้นลงกว่านั้นมาก

 

Thing:   แล้วจะเปลี่ยนได้นานเท่าไร?

 

Mr.Fantastic:   เรื่องนั้นมันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างนะ

Mr.Fantastic:   ทั้งกิจกรรมที่ทำเอย การไม่กิจกรรมเอย

Mr.Fantastic:   พลังงานจลน์ที่ร่างกายใช้จากการดูดซับแสงจากดวงอาทิตย์….


Thing:   ก็แล้วมันจะนานเท่าไรละว้อย!

 

Alex:   ตอนลุงเปลี่ยนร่างไป ลุงควบคุมมันไม่ได้หรอกครับ

 

Dragon man:   และคุณเองก็ไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่าจะกลับคืนสู่ ภาวะเปิดสวิท เมื่อไรเหมือนกัน

 

Alex:   แต่พวกเราคิดกันว่า น่าจะราวๆ หนึ่งอาทิตย์ต่อปีน่ะครับ



Thing:   แปลว่าชั้นจะกลับกลายเป็นปกติได้ราวหนึ่งอาทิคย์ของทุกปีเรอะ?

 

Valeria:   หนูเสียใจด้วยนะคะ แต่มันคงนานกว่านั้นไม่ได้ค่ะ ลุง Ben



Thing:   ชั้นขอรับยานี่ก็แล้วกัน

 

Mr.Fantastic:   ถ้าอย่างนั้น Alex ส่งยานั่นมาให้ลุงคนนี้เลย

Mr.Fantastic:   ลุงเขารอสิ่งนี้มานานเกือบทั้งชีวิตแล้ว


   

   

ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ คุณ Grimm

   

คุณจะได้กลับกลายเป็นคนปกติอีกครั้ง

   



8 thoughts on “Fantastic Four #584 Three Part 2

  1. seventoon

    เพิ่ง ตามาจาก พนัทิป

    เพิ่งรู้ พาวเวอร์ แพ็คโตแล้ว 5555555+ ปกติชอบแก๊งนี้มากอ่ะ ลายเส้นไม่เหมือนชาวบ้านดี

    ขอบคุณครับ ที่สปอยและให้รายละเอียดแต่ละตัว สนุกมากมากกกกก ครับ

    ส่วนแบล็คแพนเธอร์ ยืนยันครับว่า ฉลาดพอสมควรเลยล่ะ เคยเห็นสเตตัสหลายรอบละ
    เรื่องความฉลาดมีพอสมควรเลย

  2. NetNN

    กลุ่ม Intelligencia นี้ล่าสุดก็เพิ่งโดนพวก Sinister Six ถล่มจนสมาชิกเกือบทุกคนโดนส่งโด่งไปนอกโลกใน Amazing Spider-Man #676 ที่ผมเพิ่งลงไปเมื่อไม่นานนี้ด้วยครับ ตาม Link นี้

    http://www.comics66.com/?p=8471

  3. DOL Post author

    @Torac127

    Red She-Hulk ก็คือ Betty Ross นี่แหล่ะครับ
    หลังจาก Betty เป็นมะเร็งผิวหนังที่ขนาด Bruce ยังรักษาไม่ได้
    General Ross พ่อของ Betty จึงได้นำร่างเธอไปแช่แข็งไว้ รอว่าซักวันใครซักคนจะสามารถรักษาเธอได้

    ใครคนนั้นก็คือ กลุ่ม Intelligencia ครับ กลุ่มนี้ได้นำร่างเธอไปทดลองและทำให้กลายเป็น Red She-Hulk
    พร้อมล้างสมองเธอเพื่อให้เธอทำตามคำสั่งในกลุ่มนั่นเองครับ

    ปล. ผมแนบภาพประกอบไว้ให้ในหน้าที่ 3 ครับ ดูได้เลย

  4. Belseph

    แก๊งเด็กพาวเวอร์ภาพเหมือนโดเรมอนเลยวุ้ย

  5. pete_amuro

    ต้นเรื่อง ผมรู้สึกว่าจอห์นนี่ กวน_ มั่กๆ
    แต่พอเบนกลับร่างมนุษย์แล้ว ทำผมซึ้งเลยครับ ^^
    และ

    นามอร์ = มาจากคำว่า “หน้าหม้อ” ใช่ไหมครับ

    ทำอะไรไม่เกรงใจเมียเล๊ย!!!

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *