Superman Earth-One : Ch.3 What does the ‘S’ Stand For… Superman!
เรื่องโดย : J. Michael Straczynski | ภาพโดย : Shane Davis
สำนักพิมพ์ : DC Comics
หลังจากการบุกรุกของกองกำลังปริศนา และสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น รวมไปถึงคำพูดของพ่อของเขาในอดีต ผลักดันให้ Clark ตัดสินใจที่จะทำในสิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้
.
“…ฝูงบินทุกลำออกตัวได้ เตรียมอาวุธทุกอย่างให้พร้อม นี่ไม่ใช่การฝึก, ขอย้ำว่านี่ไม่ใช่การฝึก”
ฝูงกองบินได้ออกจากเรือบรรทุกและมุ่งหน้าไปยังกองยานแปลกหน้าที่บินอยู่เหนือเมือง Metropolis
“ทำการติดตามและล็อกเป้าหมายไว้ แต่อย่าเพิ่งยิงจนกว่าจะอนุญาต ตอนนี้ทาง Centcom กำลังทำการพิจารณาถึงเจตนาของเจ้าพวกนั้นและ…”
แต่แล้วพวกเขาก็โดนจู่โจมเข้าให้ก่อน
นักบิน : ดูเหมือนพวกเราจะรู้แล้วว่าพวกนั้นมาดีหรือร้ายนะ ยานบินทุกลำเตรียมพร้อมและทำการยิงตอบโต้ได้ทันที!
“ขอย้ำทำการยิงตอบโต้ได้ทันที…”
การปะทะกันของฝูงบินบนโลกและกองบินต่างดาวเริ่มขึ้นแล้ว
“…จากข่าวสารต่างๆที่ได้รับมาจากทั่วโลก จุดหมายของการจู่โจมของกองยานปริศนาเหล่านี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด”
“นอกจากนี้ ยังพบว่าอาวุธของเราไม่สามารถที่จะทำอะไรกองยานเหล่านี้ได้เลย และเหล่ากองยานยังทำการโจมตีเมืองหลวงต่างๆทั่วทั้งโลกอีกด้วย”
Lois : คิดได้หรือยัง? ไม่เอาน่า จิม… พวกเราควรจะออกไปตรงนั้นนะ
Olsen : รับแซ่บ
Perry : นี่พวกเธอบ้าไปแล้วเหรอไง? นั่นมันสนามรับชัดๆเลยนะ พวกเธอคิดว่ากำลังจะออกไปที่ไหนกันล่ะนั่น
Lois : ก็สถานที่ที่คุณเคยบอกให้ฉันไปไงเล่า
Lois : สถานที่ที่มีเรื่องราวและข่าวสารที่เราต้องการ เอาล่ะไปทางบันไดนะปลอดภัยไว้ก่อน
Olsen : ไม่ต้องห่วง ผมตามหลังมาติดๆ
Lois : ทางนี้
Olsen : ขอสักแป๊ปนะ…
Lois : นี่นายจะทำอะไรอีก…
และตรงที่ Lois อยู่มันก็มีเครื่องบินลำหนึ่งที่โดนยิง ร่วงลงมาตกในบริเวณนั้น
Lois : หมอบลงเร็ว!
แต่ Olsen ไม่ทำตามแม้แต่น้อย เขายินถ่ายรูปเหมือนที่ตรงนั้นไม่มีอันตรายใดๆ เพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด
Lois : พ่อตากล้องถ่ายจอมบ้าถ่ายภาพคนนี้… จะทำให้ฉันบ้าตายแน่ๆ
Olsen : โอเค ผมได้ภาพที่ต้องการแล้ว ไปกันต่อเถอะ
“…ข่าวสารเกี่ยวกับการทำลายล้างยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่องจากทั่วทั้งโลก”
“ทั้งจาก โรม”
“ฮ่องกง”
“ลอนดอน”
“…และที่บ้านของเรา เมโทรโปลิส ซึ่งถูกโจมตีจากกองยานที่มีขนาดใหญ่ที่สุด… ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นยานระดับชั้นบัญชาการ”
นักข่าว : และดูเหมือนว่ามันจะไม่มีความพยายามที่จะติดต่อไปหาเหล่าผู้นำของโลก เพื่ออธิบายเหตุผลในการโจมตีครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย และด้วยความต่างชั้นของอาวุธและเทคโนโลยี ดูเหมือนว่าอาจจะมีประชากรกว่าพันล้านที่อาจะต้องตาย โดยที่เราไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้ว่า ทำไมพวกเขาถึงได้มาที่นี่? และพวกเขาคือใคร?
Clark ยังคงนอนสลบไม่ได้สติ แต่เสียงที่ดังก้องในหัวของเขายังคงดังไม่หยุด
“ระบบการทำงานที่สองทำการออนไลน์แล้ว ระบุตำแหน่งของระบบการทำงานหลัก”
“ทำการเริ่มต้นการประสานข้อมูลให้ตรงกัน และทำการประกอบข้อมูลต่างๆจากศูนย์รวมรวบข้อมูลหลัก”
Sandra : นี่มันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
Dr. : ผมไม่คิดว่าผมจะ…
Sandra : นี่มันเป็นไปไม่ได้ เจ้ายานลำนี้กำลังเปลี่ยนแปลงพลังงานให้กลายเป็นวัตถุ เพื่อทำการทดแทนชิ้นส่วนต่างๆในตัวของมันอย่างแท้จริง มัน…มันกำลังฟื้นกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง!
“การประสานการทำงานเสร็จสมบูรณ์ การรวบรวมและกู้ข้อมูลกำลังอยู่ในกระบวนการทำงาน มีแค่ข้อมูลบางส่วนเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ในปัจจุบัน”
“สภาพการต่างๆพร้อมทำงาน ข้อมูลเพียงพอที่จะทำการส่งผ่านไปยังตัวสมองได้โดยทันที”
“ทำการดาวโหลดข้อความ”
และ Clark ได้มองเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่ยานลำนี้ได้ทำการจดจำไว้ได้
Lara : เขาจะโดดเดี่ยว เขาอาจจะดูเหมือนพวกนั้น แต่เขาจะไม่ใช่หนึ่งในพวกนั้น เขาอาจจะอยู่ในหมู่พวกนั้น แต่ไม่ใช่คนของพวกนั้น
Jor-El : ผมรู้ลาร่า แต่เขาจะแข็งแกร่ง เขาจะกลายเป็นพระเจ้าของพวกนั้น และที่สำคัญที่สุดเมื่อพวกเราตายไป เขาจะอยู่รอด
Jor-El : พวกเราจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่งั้นเขาอาจจะตกอยู่ในคลื่นช็อกเวฟได้
Lara : ถ้างั้นพวกเราควรจะส่งเขาออกไปให้เร็วที่สุด
Jor-El : ไม่ มันมีความเสี่ยงที่เขาอาจจะถูกพบเห็น แต่ด้วยพลังงานอันมหาศาลที่ทำลายล้างดวงดาวของเรา มันจะช่วยให้เขาหลบหนีไปได้สำเร็จ และผมได้ทำการตั้งโปรแกรมที่เก็บทุกภูมิความรู้ของเราไว้ภายในโครงสร้างโมเลกุลของตัวยานแล้ว เขาจะได้รับรู้ในสิ่งที่เขาต้องการจะรู้
Lara : ไม่ เขาจะไม่ได้ทั้งหมดนั่น เพราะเขาจะไม่มีพวกเรา แต่นั่นดีที่สุดแล้ว จงไปเถอะ พร้อมกับความรักของพวกเรา คาล-เอล พวกเรา…
Jor-El : มันถึงเวลาแล้ว
Lara : แต่ฉันยังคงกังวลอยู่นะ จอร์-เอล ว่าถ้าเขาถูกติดตามโดย
และตัวยานก็ปิดตัวลง นั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่ตัวยานสามารถกู้ขึ้นมาให้เขาได้เห็น
จากนั้นยานได้บินออกไปจากดาว Krypton พร้อมกับการระเบิดที่นำความพินาศมาสู่มัน
และเมื่อทุกๆอย่างจบลง Clark ได้สติอีกครั้ง
Clark : นั่น… นั่นมันอะไรกัน? ฉัน…
และเมื่อเขามองเห็นยานที่บินอยู่เหนือตัวเมือง เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ รีบพุ่งตัวออกไปทันที
Lois : คราวนี้อะไรอีกล่ะ
Olsen : ก็เพื่อนของผมที่ออกไปเก็บภาพที่อัฟกานิสถานเคยบอกไว้ว่า รูปแบบของการโมตีมันมักที่จะคล้ายคลึงของเดิม ถ้าคุณต้องการที่จะจัดการกับเป้าหมายน่ะ
Olsen : อย่างแรกคือระบิด และถัดมาคือการคุมน่านฟ้า
Lois : แล้วไงต่อ
Olsen : ก็ยกพลทหารราบเข้าโจมตี
และมันก็เป็นไปตามที่เขาบอกจริงๆ
Lois : ฉันละเกลียดเวลาที่นายคิดถูกจริงๆเลยให้ตายสิ
กองทัพหุ่นยนต์จำนวนมหาศาลดาหน้าออกมาจากตัวยาน
สองกองกำลังประจันหน้ากัน และทำการรบพุ่งใส่กันทันที และมันได้มีการถ่ายทอดคำพูดออกมาในที่สุด
“เหล่าประชากรที่อาศัยอยู่บนดาวที่เรียกว่าโลกใบนี้…”
“จริงๆแล้วพวกเราควรจะทำการติดต่อเข้ามาให้เร็วกว่านี้ แต่มันต้องใช้เวลากว่า 10 นาทีเพื่อที่จะประมวลผลภาษาอันหลากหลายของพวกเจ้า และยังต้องมาคิดถึงระดับความถี่ที่เทคโนโลยีของพวกเจ้าจะสามารถรับได้อีกด้วย”
“พวกเจ้าควรที่จะหันมาใช้คลื่นความถี่เดียวกัน และใช้ภาษาเพียงภาษาเดียว เพราะไม่อย่างงั้นแล้ว พวกเจ้าจะไม่มีวันได้ประสบความสำเร็จในสายพันธุ์ของพวกเจ้าเลย”
“แต่ถ้าจะคิดแล้ว ตั้งแต่ที่พวกเรามาถึง อนาคตของพวกเจ้าก็แทบจะดับวูบลงไปแล้ว”
Tyrell : ข้ามาจากดาวที่พวกเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ข้าจึงไม่คิดที่จะเสียเวลามาอธิบายให้พวกเจ้าฟังแน่นอน ชื่อของข้าคือ ไทเรลล์ และข้ามาที่นี่เพื่อทำลายดาวของพวกเจ้า แล้วพวกเจ้าคิดว่านั่นมันสำคัญหรือไม่ล่ะ
“ข้าใช้เวลากว่า 20 ปีเพื่อตามหาบางสิ่ง หรือถ้าจะให้พูด น่าจะเป็นใครบางคน และการเดินทางของพวกเรามันได้นำพาพวกเราไปยังดวงดาวจำนวนมาก แต่ข้าก็ยังไม่พบเป้าหมายที่ต้องการ”
“และนั่นคือเหตุที่ข้ามาที่นี่ เพื่อทำในสิ่งที่ข้าได้ลงไปทำเช่นเดียวกันกับที่ทำกับพวกมัน”
Tyrell : ถ้ามันอยู่ที่นี่ ข้าจะทำการโจมตีต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะเปิดเผยตัวเองออกมา แต่ถ้ามันไม่อยู่ที่นี่จริงๆละก็ ข้าก็จะจากไปและตามหายังดาวดวงอื่นต่อไป แต่นั่นมันต้องหลังจากที่ประชากรหลายล้านคนของพวกเจ้าตายไปเสียก่อน ข้าถึงจะนับว่าข้าได้รับรู้แล้วว่าข้าใช้ทุกวิธีที่ทำได้ ในการตามหามัน
“แต่ถ้าเป้าหมายของข้าอยู่ที่นี่ และต้องการช่วยเหลือชีวิตหลายล้านนั่น เจ้าก็ต้องปรากฏตัวออกมาและยอมจำนนซะ แต่ถ้าข้าพบว่ามันอยู่ที่นี่แต่ไม่ยอมจำนนต่อพวกเรา เมื่อนั้นเรื่องต่างๆคงจะต้องเลวร้ายลงอย่างที่สุด”
“ถ้ามันไม่คิดที่จะเปิดเผยตัวเองออกมาแล้วละก็ เพื่อให้ได้ตัวมันมา ข้าจะทำการทำลายล้างดาวดวงนี้ทิ้งซะ แล้วด้วแบบนั้นมันจะเป็นจุดจบแก่ทุกๆคน และกับใครก็ตามที่เจ้านั้นรักใคร่”
Tyrell : ถึงเป้าหมายของข้า ถ้าเจ้าได้ฟังที่ข้าได้กล่าวไปแล้ว มันก็เป็นไปตามนั้น จงเปิดเผยตัวเองและยอมจำนนซะ หรือไม่งั้นก็ปล่อยให้โลกใบนี้ตายไปเพราะเจ้า
“คุณได้ยินใช่มั้ย?”
Dr. : ใช่ คุณคิดว่าเจ้านั่นมันมาตามหาคนที่มากับเจ้านี่หรือเปล่า
Sandra : จากปฏิกิริยาที่มันทำในช่วงที่เจ้าพวกนั้นมาถึงโลก พวกเรามันโง่จริงๆที่ไม่เคยสมมติถึงเรื่องที่เกิดขึ้นไว้เลย
“แล้วถ้าเจ้าคนที่มันต้องการไม่รอดจากเหตุยานตกล่ะ? ถ้าเขาตายไปแล้วล่ะ?”
Sandra : แล้วงั้นจะให้เป็นไงล่ะ ว่าแต่เจ้านั่นเป็นไงบ้าง
“คุณน่าจะได้เห็นมันนะพันตรี… คุณควรจะได้เห็นมันจริงๆ”
Dr. : …มันเป็นสิ่งที่งดงามมาก งดงามจนน่ากลัว แต่มันก็คืองดงามนั่นแหละ พวกเราเอาชนะเจ้านั่นไม่ได้ใช่มั้ย?
Sandra : ไม่แน่นอน เมื่อพวกมันมีอาวุธที่มีเทคโนโลยีล้ำยุคแบบนั้น
Dr. : แล้วงั้นเรามีอะไรบ้างล่ะ
Sandra : …เฝ้าภาวนาให้เกิดปาฏิหาริย์… ให้พวกมันเปลี่ยนใจและบอกว่าพวกมันแค่ล้อเล่น… หรือค้นพบว่าเป้าหมายของมันตายไปแล้ว และจากไป…
“หรือไม่งั้นก็ ถ้าเป้าหมายของมันยังอยู่ ก็ให้เขาเดินออกมาจากเงามืด และให้ตัวเองโดนฆ่าตายซะ”
Clark ยืนดูเมืองที่โดนโจมตีจนเสียหายจากตึกสูงด้านบน และเขาได้ตัดสินใจแล้ว ก่อนจะหายตัวไปจากบนตึกนั้น
เบื้องหน้าการประจันหน้ากันระหว่างกองทัพอเมรกาและกองกำลังหุ่นยนต์ มันมีลมสายหนึ่งพัดมาและป่นกองกำลังหุ่นยนต์จนแหลกเป็นชิ้นๆ
Olsen : คุณเห็นนั่นมั้ย
Lois : เห็นแล้ว พวกมันเพิ่งจะเดินชนกัน แล้วสงคราม…
Olsen : ไม่ใช่แบบนั้น… มันมีบางอย่างที่เคลื่อนไหวได้เร็วมากๆและปรากฏอยู่แค่บนเฟรมเดียว และผมก็ถ่ายรูป 5 เฟรมต่อวินาที
Lois : แล้วไงล่ะ?
Olsen : ไม่รู้สิ… แต่ถ้าเจ้านั่นมันพอจะรับไฟล์ภาพแบบดูรีเพลย์ได้ มันก็น่าจะได้รับภาพนี้ได้นะ
Lois : การเคลื่อนไหวตัวเองจนเร็วมากๆแบบนั้น เขาไม่เรียกว่าการเปิดเผยตัวเองหรอกนะ
Olsen : “หรือถ้าเขาจะสามารถสู้กับพวกมันได้จริงก็เถอะ เขาจะไปตามช่วยเหลือทุกๆที่ในโลกได้ยังไงกัน ดังนั้นบางทีเขาอาจจะพยายามมองหาหนทางที่จะจัดการพวกมันโดยไม่ต้องให้ในสิ่งที่พวกมันต้องการก็เป็นได้นะ นั่นเพราะการให้สิ่งที่เจ้าคนเลวๆแบบนั้นต้องการมันเป็นความคิดที่แย่ๆมากเลยไงล่ะ”
Lois : “ฉันก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ จิม เพราะว่าตอนนี้ประชาชนคนธรรมดากำลังล้มตายกันไปมากมายแล้ว”
Clark ตรงกลับไปยังที่ทำงานของเขา ห้องวิจัยแห่งนั้น และตรงไปหาเจ้านายของเขาพร้อมอุปกรณ์บางอย่าง
Clark : ผมได้เจ้าชิ้นส่วนนี้มาจากหนึ่งในหุ่นยนต์พวกนั้น… ถ้าพวกเราสามารถที่จะใช้อุปกรณ์และคนงานของคุณในการตรวจสอบเจ้าสิ่งนี้ บางทีพวกเราอาจจะหาทางที่จะหยุดพวกมันได้ ก่อนที่จะ….
หัวหน้า : โทษทีนะ แต่มันไม่ใช่ธุระของฉัน ฟังนะ กรมธรรม์ประกันภัยของฉันมันไม่ได้รวมการบุกโจมตีของพวกต่างดาวด้วยนะ ฉันจะหาหลุมหลบภัยที่อยู่ลึกที่สุดและหนีไปให้ไกลจนกว่าเรื่องนี้จะจบลง และคิดว่านายน่าจะทำแบบเดียวกันนะ
จากนั้นเขาก็เดินออกไป ทิ้ง Clark ให้ยืนอยู่คนเดียว
“พ่อหวังว่าลูกจะจัดการหาเส้นทางของตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องเปิดเผยตัวเองนะ คลาก พ่อเชื่อในตัวลูกนะ”
Pa.Kent : แต่มันก็ยังสิ่งที่ลูกทำได้ในขณะที่คนอื่นๆทำไม่ได้ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งไหนๆ สิ่งที่นำมาซึ่งความแตกต่างระหว่างความเป็นและความตายของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล
Pa.Kent : และพ่อยังเชื่ออีกว่า บางครั้งพวกเราอาจจะได้ทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเอง และเราอาจจะไม่อยากทำมัน พวกเราจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะไม่ต้องทำมัน… แต่ยังไงเราก็ต้องทำมันลงไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราจะแสดงความมุ่งมั่นและขจัดความกลัวต่างๆออกไป เพื่อทำมันให้สำเร็จ
Clark : แม่ใกล้จะเสร็จหรือยังครับ
Pa.Kent : ใกล้แล้วล่ะ ถ้าจะให้พูดละก็นะ ส่วนที่ยากที่สุดก็คือ การคลี่ตัวด้ายออกมาแล้วเย็บมันด้วยเครื่องทอผ้า เพราะไอ้เจ้านั่นมันดูเหมือนจะไม่มีอะไรทำลายได้เลย พ่ออาจจะมีส่วนร่วมด้วยนิดหน่อย แต่การออกแบบไม่ใช่ของพ่อนะ เพราะแม่ของลูกน่ะมีความคิดที่เลิศมากๆเลยล่ะเกี่ยวกับความหมายของมัน ดังนั้นพ่อจะไม่บอกอะไร แล้วให้แม่ของลูกเป็นคนอธิบายแล้วกันนะ
Pa.Kent : บางทีลูกอาจจะไม่ต้องการมัน เหมือนที่พ่อเคยบอกว่า พ่อหวังว่าลูกจะไม่ต้องทำแบบนั้น แต่ก็เหมือนที่พ่อของพ่อเคยพูดไว้นั่นแหละ “มีมันแล้วไม่ต้องการ ดีกว่าที่เราต้องการมันแล้วเราไม่มี”
กลับมาที่ปัจจุบัน Metropolis โดนถล่มจนเละ โดยที่ Clark ได้แต่ยืนมองลงมาจากลูกโลกด้านบน ที่ด้านหลังเกิดการระเบิดมากมาย แต่ Olsen ก็ยังไม่ย่อท้อที่จะเก็บภาพที่เขาเห็น
“ข้าได้เฝ้าจับตาดูสนามรบแห่งนี้ไว้ และพบว่าเจ้าไม่คิดที่จะหนีแม้แต่น้อย”
Olsen : ใช่แล้ว
“แต่คนอื่นๆมันกำลังวิ่งหนีอยู่ไม่ใช่หรือไงกัน”
Olsen : ก็เรื่องของเขานี่ เกี่ยวไรกับฉันเล่า
“ที่เจ้าไม่หนีเป็นเพราะว่าเจ้ารู้ตัว ว่าพวกนี้ทำอันตรายเจ้าไม่ได้งั้นหรือ”
Olsen : ใช่ก็ดีสิ
“ถ้างั้นแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่คิดที่จะวิ่งหนี”
Olsen : ก็เพราะว่าฉันเป็นช่างถ่ายภาพลงข่าวไงล่ะ พวกเราจะไม่มีวันวิ่งหนี และไม่มีวันที่จะหนีไปจากภาพที่เราคิดจะถ่ายมัน
“หมายความว่าทั้งเจ้า และเผ่าพันธุ์ของเจ้า จะยอมตายเพียงเพื่อภาพถ่ายเนี่ยนะ”
Olsen : ไม่ใช่แบบนั้น …พวกเราอยู่และตายเพื่อนำเสนอความจริงต่างหากเล่า เพราะว่ามันคือสิ่งที่มีค่าที่สุดที่เรายอมตายเพื่อมันได้
Clark ได้ยินคำพูดของ Olsen ทุกคำ และมันทำให้เขากำหมัดในมือจนแน่น
“ช่างเป็นอาชีพที่มีเกียรติ และเกือบจะมีเหตุผลที่สุดก็ว่าได้งั้นสินะ… ถึงว่า ว่าฉันไม่ค่อยเห็นคนแบบเดียวเจ้าคิดที่จะวิ่งหนีแม้แต่น้อย”
“ถ้างั้นลองให้ฉันคิดตามสมมติฐานของฉันหน่อยแล้วกัน… ว่าเจ้าอาจจะเป็นคนที่ข้ากำลังตามหาอยู่”
และหุ่นยนต์เบื้องหน้าก็เดินเข้าใกล้ตัว Olsen ขึ้นเรื่อยๆ
Clark : ไม่…
และมันได้เงื้อหมัดขึ้นมาเพื่อเตรียมอัดเข้าใส่เขา
Clark : ไม่…ไม่!
Clark ที่ทนดูไม่ได้ ก็ตัดสินใจที่จะพุ่งตัวลงพร้อมกำหมัดไว้ในมือ
และเขาก็บดขยี้หุ่นยักษ์จนเละทันที โดย Olsen ก็ได้ถ่ายภาพไว้ตามที่ต้องการ
Lois : นั่นคือ อีกเหตุผลที่นายยอมอยู่เฉยๆใช่มั้ย เพราะว่าเจ้าคนนั้นเขาต้องมาน่ะ
หลังจากที่ช่วยเหลือ Olsen เสร็จเขาก็พุ่งไปหากองทัพหุ่นยนต์ตัวอื่นๆต่อ
แต่ทั้งหมดก็อยู่ภายใต้การจับตาของ Tyrell
Tyrell : ในที่สุด…ก็พบตัวเป้าหมายแล้ว งั้นถึงเวลาที่พวกเราจะก้าวจะออกจากเงามืดสู่แสงสว่างกันแล้ว
Tyrell ลุกขึ้นจากที่นั่งบังคับการ และเรียกปีกเหล็กของมันออกมา ทางด้าน Clark ก็กลับไปยังยอดตึกที่เขาทิ้งเสื้อไว้อีกครั้ง
“ในตอนนี้ เราจะปลดปล่อยพลังทั้งหมดของเราให้ดาวดวงนี้ได้เห็น”
“มันก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ…แม่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน…มันดูมีสีสันดีล่ะมั้ง?”
Ma.Kent : แม่ลองย้อมมันด้วยหลายๆอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว แต่เจ้าสิ่งของจากในยานลำนั้นมันกลับไม่เปลี่ยนไปเลย แต่ในระยะยาวก็คงจะดีล่ะมั้ง… พวกคนอื่นๆจะได้มองดูสีสันของมันมากกว่าใบหน้าของลูก
Clark : มันจะดีกว่ามั้ยครับ ถ้าผมมีหน้ากาก หรืออะไรแบบนั้น
Ma.Kent : ใช่มันก็อาจจะดีนะ… แต่ลูกไม่ควรที่จะสวมมัน
Clark : ทำไมล่ะครับ
Ma.Kent : ก็เพราะว่า เมื่อผู้คนเห็นสิ่งที่ลูกทำ เมื่อพวกเขาเห็นพละกำลังของลูก พวกเขาจะหวาดกลัว และหน้ากากก็จะทำได้เพียงให้มันเป็นแบบนั้น พวกเขาต้องการจะเห็นใบหน้าของลูก แล้วพวกเขาจะได้เข้าใจว่ามันไม่มีปีศาจร้ายใดๆอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา… แต่พวกเขาจะมองเห็นสุภาพบุรุษที่มีแต่ความอ่อนโยนและความอ่อนน้อม… และรู้ว่าพวกเขาไม่ต้องกลัวสิ่งใด
Ma.Kent : ส่วนหน้ากาก… คือสิ่งที่ลูกต้องสวมในชีวิตปกติ
Clark : แล้วงั้นนี่ล่ะครับ ตัว “S” นี่มันคืออะไรกัน
Ma.Kent : สำหรับมัน ทั้งพ่อและแม่ต่างเห็นไม่ตรงกันสักเท่าไร
Ma.Kent : แม่อยากจะให้ลูกมีสัญลักษณ์บางอย่างเป็นของลูก และคิดว่า ‘S’ เหมาะสมแล้ว เพราะลูกคือ “ลูก” ของพวกเรา ไม่ว่าลูกจะมาจากโลกใบไหนก็ตาม… แต่ลูกก็คือลูกของโลกใบนี้ และเป็นลูกของแม่
Pa.Kent : แต่มันคลุมเครือและดูธรรมดาเกินไป ญาติของพ่อเป็นนักทำโฆษณา และบอกว่าการที่เราจะทำสัญลักษณ์ขึ้นมามันก็ต้องเพื่อเป้าหมายและแนวคิดเดียว นั่นคือเหล่าผู้คนต่างๆต้องเข้าใจถึงมัน และลูกก็ไม่ได้แตกต่างออกไปจากทุกคนหรอกนะ คลาก แต่ลูกน่ะ ทรงพลังยิ่งกว่าใครๆในประวัติศาสตร์…
“…ลูกอาจจะเป็นคนที่แปลกแยกจากคนอื่น”
“แต่มันคือการสื่อว่าลูกเป็นคนพิเศษ”
“ไม่ใช่คนธรรมดาคนนึง… แต่ลูกเป็นมากกว่านั้นมาก…”
“…ลูกเป็นยอดมนุษย์…”
“…ลูกคือ…”
Superman
บัดนี้ตำนานบุรุษเหล็กแห่ง Earth-One กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป
อ่านช่วงคำพูดของ มาร์ธา ว่า “หน้ากาก… คือสิ่งที่ลูกต้องสวมในชีวิตปกติ” แล้วเศร้าแปลกๆแหะ
ปล. ไหนๆก็อธิบายเรื่องสี กับตัว S ของเวอร์ชั่นนี้แล้ว น่าจะอธิบายด้วยนะว่าไมต้อง เกงในแดง
กางเกงในสีแดง 55+