Superman Earth-One : Ch.2 Secret of Clark Kent
เรื่องโดย : J. Michael Straczynski | ภาพโดย : Shane Davis
สำนักพิมพ์ : DC Comics
พบกับบทที่ 2 ของ Superman Earth-One เรื่องราวในอดีตและความในใจของ Clark Kent กำลังจะถูกเปิดเผย
.
Clark บินออกมานอกโลก และจ้องมองดูโลกสีเงินใบเล็กๆที่อยู่ตรงหน้า
“ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ครับ”
“ผมเป็นใครกัน”
“ผมเป็นตัวอะไรกันแน่”
“ลุกเอ๋ย พวกเราเองก็ไม่รู้”
“ขอสาบานต่อพระเจ้า ว่าพวกเราไม่รู้จริงๆ”
Pa.Kent : พวกเราตัดสินใจกันว่า จะเก็บรักษาเรื่องนี้เป็นความลับจนกว่าลูกจะโตพอที่จะรับรู้ถึงเรื่องนี้
Ma.Kent : แต่จากทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น…จากทุกๆอย่างที่ลูกทำ ถ้าพวกเรายังรอนานกว่านี้แล้วละก็…
Pa.Kent : ทุกๆอย่างคงจะแย่ลงไปกว่านี้
Clark : แสดงให้ผมดู
Ma.Kent : แม่ต้องขอโทษด้วย แต่มันไม่มีอะไรมากนักที่จะแสดงให้ลูกเห็นหรอกนะ
จากนั้น Ma.Kent ก็เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกล่องใบหนึ่ง
“นี่คือสิ่งที่มันเหลืออยู่ ถึงจะไม่มากนักก็ตาม”
และย้อนกลับไปยังช่วงเวลาหนึ่ง หลายปีก่อนหน้านี้
ทั้ง Jonathan Kent และ Martha Kent ได้เดินเขาด้วยกัน จนกระทั่งได้ยินเสียงดังบาดแก้วหู พร้อมยานที่มีรูปร่างแปลกประหลาดลำหนึ่งพุ่งตรงลงมา
มันพุ่งออกไปจนทะลุภูเขาลูกหนึ่ง ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ภูเขาอีกลูก
Martha : นั่นมันอะไรกัน มันเป็นเครื่องบินหรือ…
Jonathan : ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ให้ไวเลย
แต่แล้วทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องดังขึ้นมา
Martha : นั่นมันเสียงเด็ก
Jonathan : มันเป็นไปไม่ได้
Martha : แต่มันใช่
Jonathan : มาร์ธา กลับมานี่เร็วเข้า มันอาจจะเป็นเสียงของพวกสัตว์ก็ได้นะ
Martha : ฉันไม่คิดแบบนั้น
และต้นเสียงก็มาจาก ยานที่ตกอยู่ตรงหน้าพวกเขา Jonathan จึงเสี่ยงเข้าไปเอาตัวเด็กออกมา
Jonathan : ต้องไปเอาเขาออกมาจากตรงนั้น
Martha : ระวังตัวด้วยนะ เพราะเจ้าพวกนี้มันดูแล้ว พร้อมจะระเบิดได้ทุกเวลาเลยล่ะ
และจากนั้นเมื่อได้ตัวเด็กแล้ว พวกเขาก็ออกวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ทันที และจากนั้นมันก็เกิดการระเบิดขึ้น
“ในตอนนั้นพวกเราแค่คิดว่ามันเป็นเครื่องบินอะไรสักอย่าง…”
“แต่มันก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับเครื่องบินตกเลยแม้แต่น้อย และพวกเราก็ไม่สามารถที่จะติดต่อออกไปเพื่อขอข่าวสารได้มากกว่านี้อีกแล้ว…”
“…เพราะตอนนั้น เฮลิคอปเตอร์สีดำได้มาห้อมล้อมบริเวณนั้นไว้ ซึ่งแม่ก็คิดที่จะขอความช่วยเหลือจากพวกเขา แต่พ่อของลูกก็บอกว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เพราะเขาไม่ชอบท่าทีของพวกนั้น”
“…และในระหว่างลงเขา แม่ก็บอกให้พ่อของลูกพูดความจริงกับพวกตำรวจ เกี่ยวการเรื่องที่พวกเราพบลูก”
“แต่ในตอนนั้นเองที่เราได้พบว่า มันอาจจะมีบางสิ่งที่พิเศษ…สำหรับลูก”
Clark ตัวน้อยหยิบ ท่อเหล็กขึ้นมาบิดเล่น
Jonathan : นี่คุณจำเรื่องราวของน้องสาวแสนเกเรของคุณที่ชิคาโก้ได้มั้ย คนที่พวกเราไม่เคยได้ยินเรื่องของเธออีกเลยน่ะ…
Martha : จำได้สิ
Jonathan : งั้นเราก็เอาเป็นว่า เธอส่งลูกมาให้พวกเราเลี้ยงแทนเธอ และมันดูเหมือนว่าเธอคงจะบอกอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอก
Martha : นั่นเรื่องจริงเลยนะ โจนาธาน
กลับมาที่ช่วงวัยเด็กของ Clark
Ma.Kent : และนี่คือทั้งหมดที่เราสามารถนำออกมาได้จากระเบิดในตอนนั้น แม่ต้องขอโทษด้วยที่มัน มีอยู่น้อยนิด…
Pa.Kent : พ่อรู้ว่าพวกเราบอกลูกมาตลอด ว่าลูกน่ะเป็นคนพิเศษ และจะต้องระมัดระวังที่จะแอบซ่อนพรสวรรค์ของลูกไว้จากโลกใบนี้ แต่พวกเราก็ไม่ได้บอกกับลูกถึงเรื่องราวที่เหลือ
Pa.Kent : และพวกนั้นเขาต้องการให้เราส่งชิ้นส่วนของอุกกาบาตนั่นให้พวกเขา เพราะส่วนประกอบที่เป็นเหล็กของมัน… ไม่ได้เป็นของดาวดวงนี้ และนั่นแหละ คลาก มันไม่ใช่สิ่งของของโลกใบนี้
Pa.Kent : และลูกก็ไม่ใช่คนของโลกใบนี้
“ไอ้หน่อมแน้มเอ๊ย”
เด็กเกเร : หัดดูทางซะบ้างสิว้อย ไอ้เด็กงี่เง่า แล้วอะไรแกคิดจะตอบโต้เหรอ ลองดูสิ ไอ้เด็กเวร
เด็กเกเร : งั้นเอาเลยซี่ ต่อยฉันกลับเลยเซ่ ฉันท้าแก เอาเลย!
เด็กเกเร : นั่นไงล่ะ อย่างที่ฉันบอก มันเป็นขี้ขลาดตาขาว เฮ้ทุกๆคน เจ้าคลาก เค้นต์ เป็นพวกขี้ขลาดเว้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เด็กเกรก : แกมันเป็นแค่ไอ้โง่ จอมขี้ขลาดเท่านั้นแหละ!
และนั่นคือหนึ่งในสิ่งที่ Clark จำได้
ปัจจุบัน เขากลับมายังบ้านเกิดที่ Smallville เพื่อมาพูดคุยกับพ่อของเขา ที่บัดนี้เสียชีวิตไปแล้ว
Clark : ไงครับพ่อ ผมขอโทษที่มาตอนดึกๆแบบนี้… ถึงพ่อจะเป็นคนที่ชอบตื่นแต่เช้าก็เถอะ… แต่ผม…ผมอยากจะคุยกับพ่อ และหวังว่าพ่อจะเข้าใจ
Clark : ผมทำไม่ได้หรอกครับพ่อ ผมรู้ว่าพ่อและแม่ต้องการอะไร และผมก็เข้าใจว่าทำไมพ่อและแม่ถึงต้องการแบบนั้น แต่ผมทำไม่ได้จริงๆ
Clark : ผมได้งานที่ดี งานที่สร้างสรรค์ และให้เงินแก่ผมจนแทบจะใช้ทั้งชีวิตนี้ไม่หมดเลย เงินที่มากพอที่ผมจะทำตามสัญญาที่ให้กับพ่อไว้ สัญญาในตอนที่พ่อกำลังจะตายในอ้อมแขนของผมที่ว่าให้ผมดูแลแม่ตลอดไป และให้ผมมีความสุข
Clark : ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ผมโดดเดี่ยวตอนเป็นเด็ก เพราะผมไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง เพราะไม่ว่าผมจะทำอะไร พวกเขาจะต้องรู้สึกได้ว่าผมแตกต่างจากพวกเขา มันทำให้ผมไม่มีทางเลือก แต่ตอนนี้ผมมีแล้ว และรู้ว่าต้องทำยังไง กับการที่จะได้เป็นคนแค่ธรรมดาคนหนึ่ง… และผมต้องการแบบนั้น แม้มันจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีก็ตาม
Clark : แต่ถ้าผมเปิดเผยตัวเองออกไป ถ้าผมแสดงให้พวกเขาเห็นว่าผมทำอะไรได้บ้าง… ผมคงจะต้องหนีไปทั้งชีวิต และจะไม่มีวันที่จะทำอะไรได้เลย และถูกมองว่าเป็นคนนอกตลอดไป จนสุดท้ายผมก็จะกลายเป็นคนที่โดดเดี่ยวอีกครั้ง
Clark : แต่ยังไงมันก็ยังแย่อยู่ดี ผมคิดที่จะตัดสินใจที่อยู่คนเดียว ซึ่งผมไม่เคยคิดที่ตัดสินใจอะไรแบบนั้นมาก่อน แต่ตอนนี้ผมทำได้แล้ว และผมก็เลือกที่จะมีความสุข …ด้วยการมีชีวิตของตัวเอง แล้วนั่นไม่ใช่เหรอครับ คือสิ่งที่พ่อต้องการที่สุด? การที่ผมมีความสุข?
Clark : ผมก็แค่ไม่อยากให้พ่อคิดว่าผมลืมเลือนทุกอย่างที่พ่อสอน มันยังอีกหลายอย่างที่ผมสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือผู้คนเหล่านั้นทั้งในทางที่เปิดเผยและทางอื่นๆด้วย ผมสามารถที่จะหาต้นตอและเปิดเผยการคอรัปชั่น… ผมสามารถที่จะเป็นแขนขาให้แก่เหล่าคนสามัญที่โลกต้องการจะทำลายพวกเขา สิ่งเหล่านั้นมันเริ่มที่จะมีความหมายกับผมมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว… ซึ่งมันมีความหมายกับผมมากพอๆกับที่มีกับพ่อ ผมจะไม่ทำให้พ่อต้องผิดหวังแน่นอนครับ ผมสัญญา
และแล้วพระอาทิตย์ก็กำลังจะขึ้น
Clark : ดูเหมือนเช้าที่สดใสและวันอันสวยงามกำลังจะเริ่มแล้ว… ผมอยากให้พ่อได้อยู่เห็นมันจริงๆ
Clark : ผมหวังว่าพ่อจะอยู่ตรงนี้ ผมรักพ่อนะครับ และคิดถึงพ่อมาก และแม่ก็ส่งความรักของเธอมาเช่นกัน แล้วพวกเราค่อยมาคุยกันใหม่ในเร็วๆนี้นะครับ
จากนั้นเขาก็จากไป
และในเมือง Metropolis ที่สถานค้นคว้าและวิจัยของกองทัพ พันตรี Sandra Lee ได้เข้ามาตรวจตราที่นี่
เธอเดินลึกเข้าไปถึงด้านใน ที่เป็นห้องขนาดใหญ่และรูปร่างที่แปลกตา ก่อนจะทำการเข้าระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อยืนยันตัวตนของเธอ
“ยืนยันการแสกนม่านตา ด็อกเตอร์ แซนดร้า ลี ตำแหน่ง พันตรี”
“ทำการเปิดประตูทางเข้า”
??? : นี่มันจะมีสักวันมั้ยเนี่ยที่ผมจะมองลงมาแล้วไม่เห็นคุณอยู่ตรงนั้นน่ะ แซนดร้า คุณไม่คิดที่จะหาเวลาวันหยุดสักวันเพื่อให้ความสนุกแก่ตัวเองซักหน่อยเหรอ?
และด้านในมันได้ทำการเก็บยานลำหนึ่งไว้ ยานที่เราคุ้นตา ยานที่เหมือนกับยานที่นำพา Clark มายังดาวดวงนี้
Sandra : มันใช้เวลากว่า 60 ปีเพื่อทำการแปลโรเซ็ตต้า สโตน ซึ่งถูกค้นพบโดยกองกำลังของนโปเลียน ในปี 1798 ส่วนม้วนหนังสือเดดซีที่ถูกค้นพบในปี 1947 ปัจจุบันยังคงทำการแปลมันอยู่
Sandra : เมื่อคุณคิดถึงคุณค่า…และความอันตรายของเจ้าสิ่งนี้ที่จะแสดงออกมาให้เหล่ามนุษยชาติได้เห็น เวลาเพียงแค่ 20 ปีมันไม่มีค่าอะไรเลย และฉันจะจัดงานเลี้ยงฉลองแน่ๆ เมื่อพวกเราทำสำเร็จ
Sandra : และถ้าเรามีโชค สักวันมันจะทำให้พวกเราได้รู้เองว่า ใคร… หรืออะไร… ที่นั่งอยู่ภายในตัวมันในตอนที่มันตกลงมา
??? : อ้อใช่ ฉันมีอะไรใหม่ๆสำหรับเธอด้วยนะ
??? : ถึงแม้พวกเราจะยังทำการตรวจสอบส่วนต่างๆของยานลำนี้อยู่ก็จริง แต่พวกเรารู้ว่าแต่ละส่วนของยานลำนี้ไม่ใช่แค่ใช้ทดแทนกันได้ เมื่อมันได้รับความเสียหาย แต่เจ้าชิ้นส่วนพวกนี้สามารถที่จะสำเนาชิ้นส่วนอื่นๆแต่ละชิ้นของตัวมันเองได้ เหมือนกับเป็นเซลล์ต้นกำเนิด
??? : ดังนั้น เพื่อที่จะทำความเข้าใจถึงโครงสร้างโมเลกุลที่ทำอะไรแบบนั้นได้… ฉันจึงร้องขอกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนรุ่นล่าสุดจากนาซ่า ซึ่งเป็นรุ่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่พอจะทำให้เรามองลึกเข้าไปในตัวเจ้าสิ่งนี้ได้
Sandra : แล้วคุณพบอะไรล่ะ คู่มือการใช้งานเหรอ?
??? : ถ้าพูดตามจริง นั่นแหละคือสิ่งที่เราค้นพบ
Sandra : โอ้แม่เจ้า… นั่นมันอักขระต่างดาวงั้นเหรอ พวกเขาเขียนว่ายังไง? แล้วทำไมพวกเราถึงไม่เคยเห็นมันมาก่อน? เจ้าพวกนั้นมันคืออะไรกัน?
??? : อะตอมและโมเลกุล
Sandra : อะตอมและโมเลกุล…?
??? : ใช่แล้ว มันคือทุกๆอะตอมและโมลกุลของยานลำนี้ ผู้ที่สร้างยานลำนี้ เขาสามารถที่จะเขียนมันลงไปภายในอะตอมอิเล็กตรอนของยานลำนี้ได้
Sandra : นี่มันบ้าไปแล้ว… นี่มัน… เขาทำอะไรแบบนี้ได้ยังไงกัน? แล้วใครกันที่เขาต้องการจะให้เจ้าพวกนี้? หมอนั่นเป็นใครกัน?
แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ติดต่อเข้ามา
“พันตรี นี่คือ เรด ไฟร์ วัน”
Sandra : มีอะไร แจ้งมาได้เลย เรด ไฟร์ วัน
Red Fire One : พวกเราตรวจพบวัตถุบางอย่างที่กำลังเดินทางลงมาโค้งลงมาใกล้โลก
Sandra : ถ้ามันไม่มีอะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับเจ้าอุกกาบาตนั่นละก็นะ ฉันกำลังอยู่ในระหว่าง…
Red Fire One : พวกมันกำลังเปลี่ยนทิศทาง
Sandra : พวกมันเปลี่ยนทิศทางได้?
“แน่ชัดแล้วว่า พวกมันกำลังตรงมายังโลกโดยที่มีการบังคับอยู่”
Sandra : มากแค่ไหน
“ยังไม่ทราบครับ กำลังทำการตรวจสอบข้อมูล”
Sandra : มีใครรู้เรื่องนี้หรือยัง
“เกรงว่าที่เราต้องกลัวจะไม่ใช่เรื่องนั้นนะครับ”
และในขณะที่ Clark กำลังจะตรงกลับไปยังห้องพักของเขา ก็พบว่ามันเกิดไฟไหม้ขึ้นบนบ้านของเขา เขาจึงรีบกลับไปยังรวดเร็ว จนแม้แต่ตำรวจที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าก็มองไม่เห็น
และเขาก็พุ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็วซึ่งเร็วกว่า นักผจญเพลิงทั้งสองคนที่กำลังขึ้นไปด้วย เขาขึ้นไปจนถึงห้องของเขาเองที่ถูกเพลิงไหม้ และพบกับเสื้อที่มีสัญลักษณ์ตัว S อยู่บนอก
และท่ามกลางกองเพลิง Clark ก็พบว่ามันมีอะไรแปลกๆ
Clark : เศษชิ้นส่วนของยานมัน…กำลังร้อนเป็นสีขาวขึ้นเรื่อยๆ…
“ทางนี้เร็วเข้า”
เขาได้ยินเสียงของนักผจญเพลิงที่กำลังเดินขึ้นมา จึงพุ่งตัวออกไปทางหน้าต่างทันที
และบนฟ้า เขาได้มองมาตรวจสอบเศษชิ้นส่วนของยานอีกครั้ง
Clark : มันดูแปลกๆ… มันเหมือนมีพลังงานอะไรบางอย่างกระจายออกมา… โอ๊ะ
แล้วเขาก็โดนพลังงานของมันช๊อตเข้าให้
Clark : นั่นไงล่ะ… ความรู้สึกเจ็บมันเป็นแบบนี้นี่เอง
Clark : ขอดูหน่อยเถอะ ว่าอะไรที่ทำให้มันเป็นแบบนี้… ต้องมองลึกลงไป…
Clark ใช้สายตา X-Ray ทำการมองลงไปในเศษชิ้นส่วนนี้
เขามองลึกลงไปจนพบกับตัวโครงสร้างโมเลกุลที่จดบันทึกอักขระนั้นไว้ และมันได้ทำปฏิกิริยากับเขา
Clark : อ๊ากกกกกกกกกก
และมันสร้างความเจ็บปวดให้แก่เขาจนไม่สามารถครองสติไว้ได้และ ล่วงลงมาจากฟ้าทันที
“ไม่สามารถที่จะทำการดาวโหลดได้อย่างสมบูรณ์โดยปราศจากการเข้าถึงระบบการทำงานหลัก”
“ทำการค้นหาระบบการทำงานหลัก”
“ทำการเตรียมพร้อมระบบส่วนที่สองในรูปแบบของระบบสำรอง”
“ทำการส่งผ่านค่าตั้งต้นใน 30.7 Chronomikes”
Clark : “มันกำลังทำอะไรอยู่?”
และที่ฐานทัพ ตัวยานกำลังทำงานขึ้นมาเอง
??? : มันเป็นอะไรที่ไม่แน่ชัด… แต่ไม่ว่ามันจะทำอะไรก็ตาม มันก็ต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมากถึงมากที่สุด คุณแทบจะต้องดึงพลังงานมาใช้สักหนึ่งบล็อกของเมืองนึง เพื่อให้เสี้ยวเศษระดับนาโนของมันทำงานได้
Sandra : มันเกิดขึ้นพร้อมกับในตอนที่เจ้าพวกนั้นปรากฏตัวขึ้นในเครื่องแสกนของเรา มันต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันแน่ๆ
Sandra : แล้วว่าแต่ทางนั้นเป็นไงมั่ง
“มีการแยกตัวออกไปเรื่อยๆครับ มันแยกออกไปยังทุกๆที่ ทั้ง จีน รัสเซีย อังกฤษ และที่อเมริกาแห่งนี้…”
Sandra : ที่ไหนของอเมริกาล่ะ
และที่ตึก Daily Planet มันก็เกิดอะไรบางอย่างขึ้น ในขณะที่ Perry กำลังคุยงานกับ Lois และ Olsen มันมีเสียงดังขึ้นมา และแรงสั่นสะเทือนที่ตามมา
Perry : มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?
Lois : แผ่นดินไหวล่ะมั้ง?
Perry : ท่าจะไม่ใช่แล้วล่ะ ดูนั่นสิ แม่เจ้าโว้ย…
มันคือการมาของกองยานกองหนึ่ง ที่ดูท่าจะไม่ได้มาโดยสันติแน่นอน
โปรดติดตามตอนต่อไป
ตอนหน้า
เบรนนิแอค แน่เลย มาแบบบนี้